ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับเดจาวู

สำหรับประวัติของเดจาวูนั้นก็ได้มีทฤษฎีที่เกี่ยวกับพลังจิต ซึ่งเดจาวูนั้นเคยถูกนับว่าเป็นพลังจิตในรูปแบบหนึ่งหรือบางคนก็ว่าได้เป็นทิพจักขุญาณหรือความรู้สึกที่ได้ใช้ตาทิพ ถ้าเอาจริงๆแล้วในตามความเชื่อเราทุกคนนั้นต่างก็ได้มีพลังจิตกันอยู่แล้วแต่ทุกคนนั้นพลังจิตจะอ่อนหรือแข็งก็จะขึ้นอยู่

แต่ละบุคคลเพราะแต่ละคนก็จะมีบุคคลที่ฝึกแต่พลังจิตด้วยการนั่งสมาธิอะไรก็แล้วแต่ที่จะทำให้ดวงจิตนั้นได้มีความแข็งไปกว่าคนทั่วไปที่ไม่ได้ฝึกพลังจิตและมันก็อาจจะเห็นภาพเห็นวิญญาณหรืออาจะเห็นภาพในอนาคตที่มันกำลังจะเกิดขึ้นในอันใกล้หรือเรียกสั้นๆ

ว่าถาคิในการสังเกต และในประวัติการณ์ได้มีคนถูกบันทึกเอาไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ว่ามี เดจาวู ที่แข็งแก่งที่สุดและไม่มีใครที่จะสามารถเทียบได้จนถึงปัจจุบันนี้ที่ได้มีชื่อว่า นอสตารเดมุส และสำหรับทฤษฎีจักรวาลคู่ขนานซึ่งจริงๆแล้วทฤษฎีตรงนี้เป็นอะไรที่มันหน้าสนใจเป็นอย่างมากเพราะว่าเราได้ไปศึกษาข้อมูลมาแล้วเราได้รู้สึกคิดว่ามันมีความที่จะเป็นไปได้สูงแล้วถ้าเกิดว่าใครที่อยากจะดูเกี่ยวเรื่องของโลก

คู่ขนาน สำหรับทฤษฎีที่เกี่ยวกับโลกคู่ขนานได้เป็นทฤษฎีที่นักฟิสิกส์ได้คิดค้นกันขึ้นมาสมมุติว่าเรามีสองเหตุการณ์ให้เลือกว่าเราจะทำหรือว่าเราจะไม่ทำซึ่งตรงนี้มันได้เป็นสองเหตุการณ์ที่เราจะเลือกหรือไม่เลือกแล้วทีนี้เรายังได้เลือกเส้นทางหนึ่งสมมุติเราเลือกคำว่าทำและอีกเส้นทางหนึ่งที่ไม่ทำคุณแน่ใจมากแค่ไหนว่ามันจะไม่เกิดขึ้นถ้าลองมิติคู่ขนานมันมีอยู่จริงแล้วมันมีคนที่เราได้คิดแบบนี้

อีกคนหนึ่งเขากลับเลือกเส้นทางตรงกันข้ามคือไม่ทำ คิดง่ายๆคือ โลกแรกคิดว่าทำฉีดออกไปทางซ้าย โลกที่สองคิดว่าไม่ทำฉีดไปทางขวา ทีนี้เราก็ได้แบ่งออกเป็นสองโลกแล้วทีนี้มันก็ได้เรียกว่ามันเป็นโลกคู่ขนานแล้ว และลองมานั่งคิดดูว่าถ้าไอคนที่คิดว่าทำเขาได้มีการตัดสินใจสิ่งใดสิ่งหนึ่ง

อีกสองทางเลือกก็แสดงว่าจะเกิดอีกสองเส้นทางว่าจะเลือกทางซ้ายหรือทางขวาแล้วถ้าสมมุติว่าไอคนที่มันได้ปฏิเสธไปในรอบแรกและมีอีกสองทางเลือกในการตัดสินใจงั้นก็แสดงว่ามันจะเกิดโลกคู่ขนานสองโลกคู่ขนานขึ้นไปเรื่อยๆจนมันไม่มีที่สิ้นสุดและสิ่งนี้มันก็ได้เป็นทฤษฎีที่มันได้เกี่ยวข้องกับคู่ขนานซึ่งหลายคนก็อาจจะงงว่าทฤษฎีตรงจุดนี้มันไปเกี่ยวอะไรกับเดจาวู

 

ได้รับการสนับสนุนโดย  bk8

สิ่งลี้ลับที่นักวิทยาศาสตร์ก็ยังพิสูจน์ไม่ได้

เรื่องบางเรื่องแม้แต่นักวิทยาศาสตร์ก็ยังหาคำตอบกับมันไม่ได้ เพราะมันเป็นเรื่องที่ลี้ลับและไม่มีใครที่สามารถพิสูจน์ได้ว่ามันมีจริงหรือไม่ สำหรับวิญญาณที่เรามักได้ยินบ่อยๆตามรายการต่างๆ หรือเป็นเรื่องที่เล่าขานกันมาไม่ว่าจะเป็น พ่อ แม่ เพื่อน ญาติพี่น้องหรือคนรู้จักก็ตาม แต่อันที่จริงเราก็ไม่อาจหาคำตอบได้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้มันมีความจริงมากน้อยเพียงใด 

บางคนเห็นกับตาแต่ก็ไม่มีใครสามารถพิสูจน์ได้ว่าเรื่องเหล่านั้นที่เราเห็นมันคืออะไร และนักวิทยาศาสตร์ก็มิอาจค้นหาหรือศึกษาออกมาได้ว่าสิ่งลี้ลับต่างๆที่เราเจอกันนั้นมันคือเรื่องจริงหรือไม่ แล้วมันเกิดจากอะไร

แม้แต่นักวิทยาศาสตร์ก็มิอาจตอบได้ว่าสิ่งที่ใครต่อใครพูดมันคืออะไร หากเป็นการศึกษาค้นพบมนุษย์ต่างดาวยังมีหลักฐานและยังมีที่มา มีความน่าจะเป็นและสามารถพูดได้ว่ามีจริง แต่นั้นก็ไม่ได้มีคำตอบให้กับสิ่งลี้ลับในโลกของเรา เพราะสิ่งลี้ลับเหล่านี้มีทุกประเทศและเป็นความแตกต่างกันตามประเพณีขอองพื้นที่หรือเขตเหล่านั้น แต่ก็ไม่มีนักวิทยาศาสตร์คนไหนเลยที่จะกล้าพูดได้เต็มปากว่าสิ่งลี้ลับมีจริง และยังไม่มีใครที่จะพิสูจน์กับสิ่งเหล่านี้ได้เลย

นักวิทยาศาสตร์สามารถพิสูจน์หรือคิดค้นเรื่องราวต่างๆให้เป็นประโยชน์และให้เราได้นำมาใช้อยู่ทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นการประดิษฐสิ่งของรถยนต์ต่างๆ หลอดไฟ ไฟฟ้า ทุกสิ่งอย่างที่เราเห็นและเราใช้ก็เป็นสิ่งประดิษฐก็ว่าได้ แต่สำหรับเรื่องลี้ลับกลับกลายเป็นสิ่งที่ไม่มีใครให้คำตอบกับมันได้

แต่จากการประดิษฐหุ่นยนต์ที่จะนำมาใช้ให้เราสบายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเครื่องดูฝุ่น หรือหุ่นนยนต์ที่ไปสำรวจนอกโลก นักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายก็ยังสามารถประดิษฐพวกเขามาได้ แต่ก็เป็นการแปลกยิ่งนักที่ไม่มีใครหาคำตอบเกี่ยวกับข้อมูลหรือเซ้นท์ที่พวกเราเรียกว่าหมอผีได้ 

ซึ่งไม่มีใครหาคำตอบในสิ่งลี้ลับเหล่านี้ได้เลย อาการผีเข้าในหลักวิทยาศาสตร์อาจจะมีมุมมองได้ แต่สำหรับดวงวิญญาณที่มีเหตุการณ์หลายๆอย่างที่เราพบเจอก็ยังไม่มีใครสามารถพิสูจน์ให้กับเรื่องลี้ลับเหล่านี้ได้เลย 

แต่ไม่ว่าเรื่องลี้ลับเหล่านี้ทางนักวิทยศาสตร์จะไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่ามันเป็นเรื่องที่เกิดจากอะไรกันแน่ แต่ที่แน่ๆนักวทยาศาสตร์ทั้งหลายพวกเขาสามารถสร้างและประดิษฐสิ่งต่างๆที่เราได้ใช้

เพื่อเป็นความอำนวยความสะดวกสบายให้แก่พวกเราอยู่ทุกวันนี้ ต้องบอกว่าเรามีความสุขสบายอยู่ทุกวันนี้ก็เพราะมีนักประดิษฐทั้งหลายและนักวิทยาศาสตร์เหล่านี้ที่เป็นคนคิดค้นที่เราต้องจดจำ และจารึกไว้เพื่อให้ลูกหลานรู้จักพวกเขาเหล่านี้ตลอดไป

 

ได้รับการสนับสนุนโดย  bk8

วิทยาศาสตร์ในร่างกาย

เรารู้หรือไม่ว่าเรื่องบางเรื่องในตัวเรานั้นก็มีจุดที่บอกไม่ได้เหมือนกัน ว่ามีวิทยาศาสตร์

มนุษย์พลังงาน ในตัวหรือร่างกายเรานั้นมีกระแสไฟฟ้าที่สามารถสร้างไฟได้เปรียบเทียบเท่ากับหลอดไฟฟ้า  120  วัตต์

การกะพริบตานั้นมีใครสามารถบอกได้บ้างว่าวันหนึ่งเราสามารถกระพริบตานั้นได้กี่ครั้ง การที่เรานั้นกระพริบตานั้น ต่อวันเรากระพริบต่อวันหนึ่ง 10000 ครั้งต่อวัน จึงทำเรานั้นเปรียบเทียบเท่ากับเราวิ่งออกกำลังกาย 80 กิโลเมตรต่อวันเลย

สมอง คุณเชื่อหรือไม่ว่าตอนที่เราเกิดมาตั้งแต่ตอนแรกเกิดสมองเรานั้นมีน้ำหนักเท่ากับตัวเราที่เราเกิด แต่พอโตขึ้นเราอายุ  15  ปี สมองของเรานั้นหนักเหลือแค่ 1.5 กิโลกรัมเพราะว่าสมองของเรานั้นเล็กลง แต่ว่าสมองของเรานั้นเติบโตเพราะว่าการที่เรานั้นหายใจเข้าไป แล้วก็เลือดที่เรานั้นไปเลี้ยงสมอง 

เส้นขนของเรานั้น คุณรู้หรือไม่ว่าทั่วร่างกายของเรานั้นมีขน มีอยู่ที่ไม่มีคือ ฝ่ามือ ฝ่าเท้า บริเวณริมฝีปาก คุณรู้หรือไม่ว่าหนวดเป็นขนที่มีความแข็งแรงเทียบเท่ากับทองเหลือง 

ตาที่สาม คุณรู้หรือไม่ว่าเรานั้นมีตาที่สามอยู่ที่ต่อมไพเนียลอยู่ที่ศรีษะของเรานั่นเอง

การที่เรานั้นจามคุณรู้ไหมว่าการจามนั้นมีต่อมน้ำลาย100000 หยดเลยที่เดียวเพราะสามารถกระเด็นได้ไกลถึง 152  ฟุตต่อวินาทีเลยทีเดียว การที่เรานั้นขมวดคิ้วนั้นทำให้เกิดรอยตีนกา ดังนั้นเราควรที่จะยิ้มมากกว่าการที่เรานั้นหน้าบึ่งอีกค่ะ 

คนเราทุกคนเคยผ่านเรื่องการที่เรานั้นร้องไห้โดยที่ไม่มีน้ำตา เพราะว่าตั้งแต่เราเกิดมาตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 3-4 เดือนนั้นเราเราอาจร้องไห้ แต่เสียง ใช่ค่ะคุณรองสังเกตสิว่าเด็กที่แรกเกิดนั้น ร้องไห้โดยที่ไม่มีน้ำตา แต่หลังจากสี่เดือนนั้นเราจะเริ่มมีน้ำตา  หิวเพราะกลิ่น ใช่ค่ะการที่เรานั้นเคยได้กลิ่นที่อาหารนั้นลอยมา แล้วทำให้เรานั้นหิว ต่อมน้ำลายนั้นเกิดอยากกินอาหารแต่ทั้งที่เรานั้นอิ่มอยู่แล้วไม่อยากกินอาหารนั้นแล้ว 

การที่เรานั้นเขินอาย เคยสังเกตไหมว่าการที่เรานั้นเขินทำไมหน้าของเรานั้นต้องแดงกว่า โดยเฉพาะตรงที่แก้ม เพราะเวลาที่เรานั้นเขินระบบในร่างกายนั้นจะหลั่งสารออกมาจนทำให้หน้าและบริเวณตรงคอนั้นแดงกว่าปกติ 

ใช่ค่ะในร่างกายเรานั้นต้องมีเรื่องที่เรานั้นเจอกับเรื่องของวิทยาศาสตร์ในร่างกายเราอีกเยอะแยะมากมาย บางทีนั้นผลของวิทยาศาสตร์ก็ไม่สามารถที่จะยืนยันได้ 

เรื่องที่หน้ารู้ทางวิทยาศาสตร์น้ำหนักลด  เชื่อไหมว่าการที่เรานั้นนอนหลับเรานั้นน้ำหนักลด ถึง  300 กรัม ทุกวันตอนที่เรานอนหลับ แต่อย่าพึ่งดีใจไปเลยค่ะ เพราะหลังจากที่เรานั้นตื่น น้ำหนักเรานั้นก็กลับมาเท่าเดิมค่ะ  

 

สนับสนุนโดย  bk8

สาวใหญ่ถูกฆ่าอย่างโหดเหี้ยมเสียชีวิตกลางทุ่งนา

สาวใหญ่ถูกฆ่าอย่างโหดเหี้ยมเสียชีวิตกลางทุ่งนาสอบถามสามีผู้ตายบอกว่ามีคนมาย่องมาทำร้าย 3 คน

           ช่วงประมาณดึกของคืนวันที่ 22 เดือนพฤษภาคมปีพศ. 2563 ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจังหวัดสระแก้วได้รับแจ้งเหตุช่วงเวลาประมาณ 22.50 นว่ามีผู้พบศพหญิงวัยกลางคนคนหนึ่งเสียชีวิตอยู่กลางทุ่งนาและเมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจเดินทางไปถึงก็พบว่ามีชาวบ้านยืนมุงดูศพพร้อมทั้งมีสามีของผู้เสียชีวิตกำลังนั่งร้องไห้ฟูมฟายอยู่สำหรับผู้ที่แจ้งเหตุนั้นเป็นนายสัมฤทธิ์ซึ่งมีหน้าที่เป็นผู้ช่วยกำนันด้วยในสำเร็จนั้น

ให้ข้อมูลทางเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าผู้เสียชีวิตนั้นชื่อว่านางอัมพรส่วนสามีของนางอัมพรที่กำลังประสบนั่งร้องไห้อยู่นั้นชื่อว่านายสมนึกโดยทั้งคู่เป็นสามีภรรยากันโดยนายสัมฤทธิ์บอกว่าตอนที่นายสัมฤทธิ์เดินทางมาถึงบริเวณทุ่งนานั้นเห็นว่านายสัมฤทธิ์กำลังนั่งกอดร่างผู้เสียชีวิตอยู่และร้องไห้ฟูมฟาย

เมื่อสอบถามไปว่าใครเป็นคนทำนายสัมฤทธิ์ก็บอกว่ามีคนร้ายบุกเข้ามา 3 คนแล้วทากันลมตรีนางอัมพรจนถึงแก่ความตายซึ่งระหว่างที่มีการพูดคุยกันนั้นนายสมนึกอยู่ในอาการของคนมึนเมาทำให้นายสัมฤทธิ์นั้นไม่เชื่อการพูดให้ปากคำของนายสมนึกเท่าไหร่จึงได้แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจให้มาตรวจสอบที่เกิดเหตุโดยชาวบ้านและผู้ช่วยกำนันให้ข้อมูลกับทางตำรวจว่าสามีภรรยาคู่นี้มักจะทะเลาะกันเป็นประจำทุกวัน

เนื่องจากว่าฝ่ายชายนั้นชอบหึงหวงฝ่ายหญิงซึ่งปกติแล้วก็จะมีการทำร้ายฝ่ายหญิงอยู่เรื่อยๆโดยเมื่อไหร่วันก่อนนั้นน้องสาวของนางอัมพรยังเคยมาบอกให้นายสัมฤทธิ์ฟังเลยว่านายสัมฤทธิ์กับนางอัมพรนั้นทะเลาะกันอีกแล้วและครั้งนี้ได้มีการนำยาฆ่าหญ้ากรอกใส่ปากนางอัมพรเพราะว่าจะให้พรไปด้วยแต่โชคยังดีที่ส่งโรงพยาบาลได้ทันซึ่งนางอัมพรเองก็เพิ่งออกจากโรงพยาบาลได้ไม่กี่วันนี้เอง

หลังจากที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการสอบสวนนายสมนึกเขาก็ให้การรบกวนพูดจาไม่รู้เรื่องเพราะอยู่ในอาการเมาบอกแต่เพียงว่ามีคนร้าย 3 คนซึ่งเขาไม่เห็นหน้าวิ่งเข้ามาแล้วก็พากันรุมทำร้ายนางอัมพรด้วยการใช้ไม้ตีหลังจากนั้นก็วิ่งหนีไปจากการดูศพเบื้องต้นพบว่าร่างกายของนางอัมพรนั้นถูกตีด้วยของแข็งโดยมีแผลทั้งที่หน้าผากที่หัวกระโหลกยางแตกมือขวาฉีกขาดและช้ำบวมแขนยังมีแผลข้างหลังอีกหลายแผล

ซึ่งบริเวณที่พบศพนั้นสภาพศพของนางอัมพรใส่แต่เสื้อและกางเกงในและยังมีอาวุธที่น่าจะเป็นอาวุธที่ก่อเหตุนางอัมพรซึ่งเป็นท่อนไม้ไผ่ที่มีความยาวอยู่ที่ 2 ฟุตตกอยู่ข้างศพและมีเลือดเต็มไปหมดและข้างๆกันนั้นก็ยังมีถุงถ่านที่มีการเผาเสร็จเรียบร้อยแล้ววางอยู่โดยนางอัมพรและนายสมนึกนั้น

มีอาชีพเผาถ่านซึ่งปกติแล้วจะมีอาชีพทำนาเนื่องจากตอนนี้ แล้งไม่มีน้ำทำให้ทั้งคู่ต้องมายึดอาชีพเผาถ่านแทนอย่างไรก็ดีเจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการนำตัวนายสมนึกไปสถานีตำรวจก็รอให้สร่างเมาแล้วจะทำการสอบปากคำต่อไป

 

สนับสนุนเรื่องราวโดย  bk8

ผู้มาเยือนจากต่างดาว ตอนความลึกลับของสฟิงซ์

สฟิงซ์ยิ่งใหญ่แห่งกิซ่าน่าจะเป็นอนุสาวรีย์ที่ลึกลับที่สุดในโลกแต่พอเราแก้ปริศนามันได้เราจะเจอข้อพิสูจน์สุดยอดว่ามีมนุษย์ต่างดาวมาเยือนบรรพบุรุษเราจริงหรือไม่ที่ราบสูงกิซ่าอียิปต์ปี1925สิ่งที่โผล่ออกมาจากทะเลทรายคือ อนุสาวรีย์รูปหัวมนุษย์ขนาดใหญ่เป็นเวลาหลายศตวรรษที่ผู้มาเยือน

ส่วนใหญ่เชื่อว่าที่นี่มีอยู่เพียงเท่านี้แต่ว่าวิศวกรชาวฝรั่งเศสปักใจเชื่อว่ามีสิ่งอยู่ใต้พื้นดินมากกว่าที่นักโบราณคดีรู้อีกมาก เคา้เริ่มขุดค้นเพื่อเปิดเผยมันและหลังจากขุดอย่างละเอียดในเวลาเพียง11ปีเค้าขุดร่างสิ่งที่คล้ายสิงโตขนาดยักษ์ได้และทำให้โลกได้รู้จักความสง่างามของสฟิงซ์ยิ่งใหญ่อีกครั้งมันเป็นประติมากรรมหินชั้นใหญ่ที่สุดบนโลก สฟิงซ์ยิ่งใหญ่ที่หันหน้าไปทางพระอาทิตย์ขึ้นตั้งอยู่ห่างจากพีระมิดที่ใหญ่ที่สุดของอียิปต์3แห่งอยู่เกือบครึ่งไมล์

มันถูกแกะลักจากหินปูนใต้ดินด้วยหินก้อนเดียวแต่สูงกว่าๅ60ฟุตและยาวกว่า240ฟุตมันน่าจะเป็นอนุสาวรีย์ที่ถูกศึกษามากที่สุดในโลกแต่มันยังเป็นอันที่ลึกลับที่สุดไม่มีถ้อยคำจารึกใดๆที่ระบุว่าใครสร้างมันหรือทำไมแต่นักอียิปต์วิทยาส่วนใหญ่ให้อายุมันที่2,500ปีก่อนคริสตกาลและดูเหมือนว่ามันจะมีความเกี่ยวข้องกับพีระมิดอียิปต์นักอียิปต์วิทยาคิดอยู่เสมอว่าพีระมิดในอียิปต์เป็นสุสานของฟาโรห์

แต่ยังไม่มีการพบฟาโรห์หรือมัมมี่ยุคราชวงศ์อียิปต์ในพีระมิดในอียิปต์เลยนักวิชาการส่วนหนึ่งยังยืนยันว่าพีระมิดยิ่งใหญ่และพีระมิดอื่นในอียิปต์ที่จริงเป็นโรงไฟฟ้าที่ซับซ้อนมากและพีระมิดเองก็ไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อสร้างพลังงานมหาศาลใช่หรือไม่พลังงานที่ต้องใช้เปิดประตูดวงดาวและนี่ก็เป็นสิ่งหนึ่งของแผนการชุบชีวิตที่ใช้เดินทางในยุคนั้นที่จริงเขตกิซ่าจะทำหน้าที่เป็นอุปกรณ์เทคโนโลยีหรือไม่อุปกรณ์ที่ช่วยในการขนส่งไปโลกอื่นและอย่างที่นักทฤษฏีดาราศาสตร์ของโบราณ

เสนอแนะและหากบางที่มันอาจจะพบหลักฐานความเชื่อมโยงชิ้นนี้ได้เพิ่มเต็มจากการที่ได้มีการสำรวจการเรียงตัวอย่างแม่นยำที่ได้พบในบนที่ราบสูงในการวิเคราะห์เชิงโบราณคดีดาราศาสตร์ได้เปิดเผยว่าตำแหน่งของพีระมิดที่ยิ่งใหญ่3อันนี้มันเหมือนกับว่ามันจะหลอกเลียนดาวแถบโอไรออน3ดวงในดาวส่องสว่าง2ดวงและดาวอับแสงอีกดวงหนึ่งที่เยื้องไปทางซ้ายนิดหน่อยที่แปลกก็คือแม้ว่าห็นความเกี่ยวข้องได้ชัดเจนมุมที่ดาวทำในท้องฟ้าจะแหลมกว่ามุมของพีระมิดเป็นอย่างมาก

และนั่นเป็นสิ่งที่นักโบราณคดีตัดสินใจเชื่อหลังจากศึกษามาเป็นเวลาหลายปีก่อนดาวพวกนี่จะเรียงตัวเหมือนพีระมิดบนพื้นดินเป๊ะๆเลยหรือไม่มันยังเป็นคำถามที่น่าสนใจอยู่นะยังไม่มีข้อสรุปว่าสฟิงซ์เป็นเครื่องพิสูจน์สุดยอดว่ามนุษย์ต่างดาวเคยอยู่บนโลกในอดีตห่างไกลหรือไม่และถ้าจริงจะมีคำใบ้ที่ซ่อนอยู่ในรูปปั้นหินเดี่ยวที่ไม่เพียงแต่จะเปิดเผยความลับเกี่ยวกับประวัติศาสตร์เรา

 

ขอบคุณเว็บ bk8  ที่ให้การสนับสนุน