ประเทศจีนมีมหาอำนาจในด้านการสอนอย่างไร

อาจารย์ในมหาวิทยาลัยอาจจะตองสอนบทเรียนที่ได้รับการอนุมัติจากจีนเท่านั้น

ประเทศจีนอาจจะไม่ได้ส่งผลกระทบต่อประเทศที่ได้พัฒนามากนักแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจีนนั้นจะไม่สร้างความพยามสร้างอิทธิพลต่อความคิดของโลก ซึ่งประเทศจีนนั้นจะชอบทำผ่านสิ่งที่พวกเขานั้นเรียกว่าCHINA S SOFT POWER โดยนโยบายCHINA S SOFT POWER ของประเทศจีนนั้นอาจจะนิยามได้ว่าความสามารถที่จะได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการโดยจะอาศัยเสน่ห์ดึงดูดใจได้มากกว่าการข่มขู่หรือการจ่ายเงิน

และความสามารถในการปรับเปลี่ยนความนิยมของอีกฝ่ายประเทศจีนนั้นกำลังได้ใช้บางอย่างเพื่อเป็นแรงจูงใจให้นักศึกษาจำนวนมากทั่วโลกได้เข้ามาศึกษาในมหาวิทยาลัยของประเทศจีนโดยเฉพาะนักศึกษาชาวแอฟริกันประเทศจีนนั้นได้มีการดึงนักศึกษากลุ่มนี้ได้เป็นจำนวนมากขึ้นมาเรื่อยๆ

ซึ่งก็ได้มากกว่าสหรัฐและสหรัฐราชอาณาจักรรวมกันอีกด้วยโดยเขาได้มีการกำเนิดเป้าหมายนักการเมืองที่จะต้องการเอาไว้ในกลุ่มของนักศึกษาเหล่านี้ในมหาวิทยาลัยของประเทศจีนทางด้านของครูผู้สอนนั้นจะทำการสอนหลักสูตรที่ได้รับจากการอนุมัติจากประเทศจีนเท่านั้นเพื่อที่จะสอนแนวคิดต่างๆตามที่ประเทศจีนนั้นจะต้องการโดยเฉพาะอย่างยิ่งการผลักดันอุดมการของจีนและของคอมมิวนิสต์และเมื่อประเทศจีนได้กลายเป็นประเทศมหาอำนาจของโลกแล้วประเทศจีนนั้นก็จะมีอิทธิพลต่อนักการเมืองในอนาคต

จากทุกส่วนของโลกและสำหรับในปัจจุบันประเทศจีนนั้นก็ได้เริ่มมีอิทธิพลต่อในโรงเรียนประเทศอื่นแล้วพวกเขาได้มีการตั้งสถานบันมากกว่า1,500แห่ง140ประเทศทั่วโลกสถานบันเหล่านี้จะมีครูชาวจีนที่ได้รับการแต่งตั้งมากเป็นพิเศษเพื่อสนับสนุนรูปแบบการพัฒนาประเทศจีนและแก้ไขความเข้าใจผิดๆเกี่ยวกับประเทศจีนของชาวตะวันตกในชั้นเรียนด้วยนั่นก็หมายความว่าเมื่อพวกเขานั้นได้

มีอำนาจที่มากพอมหาวิทยาลัยไม่เพียงแค่จะเปลี่ยนเป็นในประเทศจีนเท่านั้นแต่ในทุกๆมหาวิทยาลัยทั่วโลกคุณจะต้องได้เรียนรู้แค่บทเรียนที่จะต้องได้รับการยอดรับจากมหาวิทยาลัยของประเทศจีนแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้นและนี่เองที่ประเทศจีนนั้นต่างก็จะต้องกำเนิดนโยบายของเขาเอาไว้อย่างี่ประเทศจีนนั้นได้ให้ข้อกำเนิดเอาไว้และถ้าหากไม่ยอมทำในข้อกำเนิดที่ได้มีเงื่อนไขเอาไว้คุณก็ไม่มีสิทธิที่จะเอาบทเรียนความรู้ต่างๆนั้น

เอาไปใช้กับที่อื่นๆได้และนั้นก็ได้เป็นอีกอย่างหนึ่งข้อกำเนิดของประเทศจีนเมื่อเขานั้นได้มีอำนาจทางมหาอำนาจต่างๆที่เขาคิดจะทำเอาไว้และเมื่อหากว่าเขานั้นได้ทำสำเร็จเขาก็จะได้มีมหาอำนาจไปทั่วโลกและทีเดียวแต่อย่างไรก็ตามใครที่จะไปเรียนที่มหาวิทยาลัยที่ประเทศจีนก็จะต้องได้รับอนุมัติในข้อกำเนิดต่างๆจากประเทศจีนเท่านั้น

 

ขอขอบคุณ เว็บพนันออนไลน์  ที่ให้การสนับสนุน

มนุษย์จะมีร่างกายอย่างไรเมื่ออยู่บนดาวอังคาร

เบนเนอร์ได้ข้อสรุปนี้ เมื่อเขาพูดว่าธาตุเฉพาะอย่างที่เชื่อกันว่าสำคัญต่อต้นกำเนิดชีวิตมีอยู่บนโลกและมีอยู่บนพื้นผิวดาวเคราะห์แดงเท่านั้นอังคารน่าจะเป็นที่ที่ดีกว่าโลกการพัฒนาสิ่งมีชีวิตตอนนี้เบนเนอร์ชี้ว่าธาตุบางอย่างที่สำคัญต่อการทำงานอย่างเหมาะสมเคมีอินทรีย์เช่นโบรอน โมลิบดีนัมอยู่บนดาวอังคารมากกว่าโลกเราอาจนึกภาพได้ว่า ชีวิตบนโลกเริ่มบนดาวอังคารคืออีกหนึ่งแง่มุม

เราเป็นชาวดาวอังคารหรือทายาทของดาวอังคารนั่นเองชีวิตบนโลกกำเนิดจากดาวอังคารเราอาจเป็นดาวอังคารจริงหรือไม่นักทฤษฏีมนุษย์อวกาศโบราณบอกว่า ใช่และบอกว่าต้อกำเนิดของโลกนี้อาจเป็นผลงานโดยตรงของสิ่งมีชีวิตคล้ายมนุษย์ที่อยู่บนดาวเคราะห์แดงจากการสำรวจของนักบินอวกาศที่อาศัยในสถานีอวกาศนานาชาตินักวิทยาศาสตร์ได้คาดเดาถึงความเปลี่ยนแปลงด้านสรีระที่อาจพบในมนุษย์รุ่นหน้า ที่เกิดบนดาวอังคารเรื่องที่หน้าทึ่งที่สุดเกี่ยวกับร่างกายมนุษย์คือความสามารถในการปรับตัวและถ้าดูนักบินอวกาศที่ขึ้นไปในอวกาศพวกเขาสูงขึ้นประมาณ 2 หรือ 3 นิ้วและเมื่อมีมนุษย์ไปเกิดบนดาวอังคาร

สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือสภาพแวดล้อมจะเปลี่ยนโครงสร้างของร่างกายมนุษย์ สิ่งที่เห็นในไม่กี่รุ่นคือ มนุษย์ที่สูงขึ้น เพรียวขึ้นเพราะแรงโน้มถ่วงบนดาวอังคารน้อยกว่าโลกนั่นเอง ถ้ามนุษย์วิวัฒนาการนานพอบนดาวอังคารพวกเขาอาจจะสูงขึ้นแล้วก็มีหัวใหญ่ขึ้นมีแขนขารีบลงพวกเขาอาจจะมีตาใหญ่ขึ้นหน่อยเพื่อช่วยให้เห็นในความมืดได้ดีขึ้นเพราะว่ามีแสงแดดบนดาวอังคารน้อยกว่าบนโลกและเพราะมันอยู่ห่างจากดวงอาทิตย์มากกว่าพวกเขาอาจจะลงเอยด้วยการดูคล้ายกับภาพของเทวดาและสิ่งมีชีวิตแบบเทพอื่นๆ

ที่เราอาจเจอในไบเบิลและเอกสารโบราณต่างๆลักษณะของคนจากดาววิเคราะห์ที่แรงโน้มถ่วงต่ำอย่างดาวอังคารหรือว่าอยู่ในอวกาศมานานพวกนี้อาจเป็นลักษณะที่เราเห็นจากเทวดาตกสวรรค์ที่ตัวสูงและผอมมากและอาจผิวขาวซีดตาโตชีววิตบนโลกมีต้นกำเนิดจากอังคารจริงหรือไม่และเป็นไปได้ไหมว่ามันไม่ใช่เรื่องบังเอิญแต่จงใจและถ้าใช่เกิดอะไรขึ้นกับชาวดาวอังคารบนพื้นที่25,000ไมล์ตามแถบเส้นศูนย์สูตรของดาวเคราะห์แดงคือรอยแผลใหญ่บนเปลืออกโลกเรียกว่า วาลเลส มารีนาริสมันลึกกว่า4ไมล์

ซึ่งคิดเป็นสี่เท่าของความลึกแกรนด์แคนยอนและมันทอดยาวเท่ากับพื้นที่สหรัฐอเมริกาจากนิวยอร์กถึงแคลิฟอร์เนีย วาลเลส มารีนาริส เป็นร่องใหญ่ที่สุดบนดาวอังคารมันได้ชื่อตามภารกิจมาริเนอร์ 1 ในปี1970มันมีลักษณะทางธรณีวิทยาที่น่าสนใจมากมันใหญ่โตดังนั้นมันท้าทายที่จะหาว่าอะไรสร้างหุบเขานี้ขึ้นมาคำถามก็คือ ทำไมลักษณะพวกนี้ถึงเกิดบนดาวอังคารและก็ขนาดใหญ่ขนาดนี้ได้

แม้กระทั่งสถานศึกษาต้องติดทั่วประเทศ

เชื้อไวรัสโควิด-19 ระบาดหนักมากเดือดร้อนแม้กระทั่งสถานศึกษาต้องติดทั่วประเทศ

    อย่างที่เราทราบกันดีว่าในปัจจุบันนี้ปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19กำลังทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศซึ่งปัญหานี้ยังคงต้องหาแนวทางเพื่อที่จะแก้ไขกันต่อไปในขณะเดียวกันณตอนนี้ทางกระทรวงศึกษาธิการได้ออกมาประกาศว่าให้ทุกโรงเรียนทั่วประเทศไทยปิดการเรียนการสอนผ่านทางการเดินทางไปเรียนที่สถานศึกษาโดยแนะนำว่าทางโรงเรียนควรจะต้องหาช่องทางการเรียนการสอนผ่านช่องทางอื่น

เช่นณตอนนี้ที่ทางมหาวิทยาลัยส่วนใหญ่ทำกันก็คือเป็นการเรียนการสอนผ่านทางระบบออนไลน์โดยนักเรียนต้องไปเรียนผ่านทางคอมพิวเตอร์เท่านั้นไม่จำเป็นต้องเดินทางไปที่มหาวิทยาลัยแต่ในขณะเดียวกันในช่วงนี้เป็นช่วงที่นักเรียนปิดเทอมจึงไม่ค่อยมีผลกระทบมากนักจะมีผลกระทบสำหรับเด็กนักเรียนที่จะต้องไปทำการสอบเพื่อเข้าเรียนในชั้นม 4 หรือม 1

ซึ่งตรงนั้นเองเท่าที่ทราบมาทางกระทรวงศึกษาธิการได้มีประกาศการเลื่อนสอบวัดระดับชั้นเรียบร้อยแล้วและใครก็ตามที่มีการฝ่าฝืนที่กระทรวงศึกษาธิการได้มีการประกาศออกมาจะมีการดำเนินคดีทางกฎหมายทันทีในขณะเดียวกันสิ่งที่เรากลัวกันอยู่ในตอนนี้ก็คือโรงเรียนหรือสถาบันที่เปิดสอนพิเศษในช่วงวันปิดเทอมซึ่งหลายๆที่แน่นอนว่าผู้ปกครองคงไม่มีใครพาลูกหลานของตนเองเป็นพิเศษในช่วงนี้ยิ่งทำให้โรงเรียนและสถาบันสอนพิเศษส่วนใหญ่ต้องปิดทำการไปนั่นหมายถึงว่าคุณครูอาจารย์พี่จะมีรายได้มาจากการสอนพิเศษในช่วงปิดเทอมนี้ก็จะไม่มีรายได้กันเลย

ดังนั้นทำให้เราต้องมานั่งทบทวนดูแล้วว่าเราควรจะรีบแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19ให้เร็วที่สุดได้แล้วเพราะไม่ได้มีผลต่อปัญหาสุขภาพและต่อปัญหาของเศรษฐกิจของประเทศเท่านั้นแต่ยังรวมไปถึงปัญหาการศึกษาของเด็กๆภายในประเทศอีกด้วยซึ่งในตอนนี้สถานศึกษาส่วนใหญ่มีการปิดการเรียนการสอนแล้วและหากใครที่ยังสอบไม่เสร็จก็จะต้องมีการเลื่อนสอบออกไปจนกว่ารัฐบาลจะแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่านี้ได้ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่กันที่ปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสชนิดนี้จะหมดไป

โดยล่าสุดที่ทราบข่าวมาทางรัฐบาลมีนโยบายให้นำพระสงฆ์มาสวดมนต์ไล่เชื้อไวรัสในวันที่ 25 มีนาคมปี 2563 นี้คงต้องรอดูกันว่าวิธีการแก้ไขปัญหาของรัฐบาลชุดนี้จะช่วยเหลือประชาชนได้มากน้อยแค่ไหนไม่แน่ว่าเชื้อไวรัสอาจจะกลัวบทสวดมนต์รัตนสูตรแล้วพากันสลายหายไปในอากาศภายในวันที่ 25 มีนาคมนี้ก็ได้

ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริงๆประเทศไทยของเราก็จะได้กลับมาใช้ชีวิตตามปกติได้เสียทีแต่ถ้าหากไม่มีมีอะไรเกิดขึ้นเราคงจะต้องมาดูกันเราว่าเราควรจะให้รัฐบาลชุดนี้ที่ดูแลทางเศรษฐกิจของเราดูแลทั้งสุขภาพของเราและดูแลด้านการศึกษาของลูกหลานเราควรจะอยู่ในตำแหน่งต่อไปหรือไม่ 

 

สนับสนุนเรื่องราวโดย  sagame

เรื่องราวเกี่ยวกับการศึกษาที่ถูกออกมาเผยแพร่ให้ประชาชนได้ทราบ

วิทยาลัยถูกแฉจัดกิจกรรมให้นักศึกษาเข้าค่ายทหารบังคับให้เด็กนั่งดมควันท่อไอเสียรถ

ที่จังหวัดพัทลุงมีเรื่องราวเกี่ยวกับการศึกษาที่ถูกออกมาเผยแพร่ให้ประชาชนได้ทราบเกี่ยวกับข้อมูลของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งที่มีการบังคับให้เด็กไปทำกิจกรรมเข้าค่ายที่ค่ายทหารแห่งหนึ่งซึ่งในการทำกิจกรรมนั้นมีการบังคับให้เด็กนักศึกษาไปนั่งหน้าท่อไอเสียเพื่อดมควันจากท่อ ไอเสียของรถที่สำคัญยังมีการบีบบังคับให้นักศึกษาทุกคนที่เข้าค่ายทำการโกนผมโดยกิจกรรมที่จัในครั้งนี้

มีการระบุว่าเป็นการเข้าค่ายธำรงวินัยเพื่อเป็นการฝึกให้เด็กนักเรียนอาชีวะเป็นคนดีมีคุณธรรมโดยกิจกรรมในครั้งนี้มีการคิดเงินนักศึกษาเป็นเงินคนละ 650 บาทซึ่งหากใครไม่ผ่านการทำกิจกรรมในค่ายทหารจะต้องมีการถูกให้ซ่อมกิจกรรมด้วยซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนี้ได้มีนักศึกษาที่ถูกสั่งให้เข้าร่วมกิจกรรมและได้ดมท่อไอเสียของรถยนต์ได้ออกมาบอกเราเรื่องราวพร้อมถ่ายรูปไว้เป็นหลักฐานแล้วนำมาโพสลง Facebook

เพื่อถามความคิดเห็นของคนในโซเชียลว่ากิจกรรมนี้เหมาะสมจริงหรือไม่ซึ่งหลายคนที่ได้เห็นภาพกิจกรรมนี้รวมถึงรายละเอียดของการทำกิจกรรมต่างก็มีการตำหนิถึงการกระทำของค่ายทหารดังกล่าวว่าไม่สมควรอย่างยิ่งในการที่จะมาเบิ้นท่อไอเสียใส่หน้าของนักศึกษาเพื่อให้เด็กนักศึกษาได้ทำดมควันจากท่อไอเสียเพราะว่าเป็นอันตรายอย่างมากต่อระบบปอดทำให้เด็กเด็กอาจจะถึงแก่ชีวิตได้

อันที่จริงการจัดกิจกรรมเพื่อให้เด็กนักเรียนอาชีวะได้มีวินัยและไม่เป็นเด็กเกเรเที่ยวไล่ตีกันเป็นสิ่งที่สมควรทำแต่การที่ค่ายทหารนำเด็กที่ถึงแม้ว่าเด็กเรานั้นจะเป็นเด็กที่เกเรมานั่งให้ดมควันจากท่อไอเสียของรถเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำเป็นอย่างมากซึ่งสถานศึกษาหรือมหาวิทยาลัยที่นักศึกษาเรานั้นสังกัดอยู่ไม่ควรจะปล่อยให้มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นเพราะการที่ปล่อยให้เด็กนั่งดมควันจากท่อไอเสียคือการทำลายชีวิตของเด็กเพราะการดมท่อไอเสียไม่ได้เป็นการแสดงออกถึงการฝึกให้เด็กมีระเบียบวินัยแต่อย่างใด

แต่เป็นการทำร้ายสุขภาพร่างกายของเด็กโดยตรงมากกว่าซึ่งทางค่ายทหารและโรงเรียนที่ส่งเด็กไปฝึกอบรมในครั้งนี้ควรจะต้องรับผิดชอบต่อการกระทำในครั้งนี้และออกมาชี้แจงให้ได้ว่ากิจกรรมนี้ทำไปเพื่ออะไรมีวัตถุประสงค์ยังไงถึงให้เด็กไปนั่งดมควันรถที่สำคัญการที่เอาเด็กไปฝึกธำรงวินัยก็ไม่ได้จำเป็นต้องบังคับให้เด็กต้องโกนหัวเพราะเด็กเป็นนักศึกษาไม่ได้เป็นทหารโดยตรงเด็กจะดีได้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการโกนหัวหรือการดมท่อไอเสียแต่จะดีได้เพราะโรงเรียนมีการสั่งสอนเด็กให้มีวินัยและคุณธรรมมากกว่า

 

 

สนับสนุนมาจาก  dewabet

การจัดสรรวงเงินให้กู้ยืม

การจัดสรรวงเงินให้กู้ยืมของเงินทุนหมุนเวียน ประจำปีงบประมาณ ครั้งที่ 1 พุทธศักราช 2563

❝ คณะกรรมการบริหารเงินทุนเหมุนเวียนเพื่อจัดการกับปัญหาหนี้สินเจ้าหน้าที่รัฐอาจารย์ครูอนุมัติจัดแบ่งวงเงินให้กู้ยืมของเงินทุนหมุนเวียน ประจำปีงบประมาณ ครั้งที่ 1 พุทธศักราช 2563 วงเงินไม่เกินคนละ 5 แสนบาท ❞

คณะกรรมการบริหารเงินลงทุนเหมุนเวียนเพื่อแก้ปัญหาหนี้สินข้าราชการครู อนุมัติจัดแบ่งวงเงินให้กู้หนี้ยืมสินของเงินทุนหมุนเวียน รายปีงบประมาณ ครั้งที่ 1 พุทธศักราช 2563 วงเงินกู้ได้ไม่เกินคนละ 5 แสนบาท ดอกเบี้ยจำนวนร้อยละ 4 ต่อปี ผ่อนชำระคืนภายใน 12 ปี

โปรดทราบ ข่าวประชาสัมพันธ์เงินทุนหมุนเวียนให้กู้ยืม เพื่อทุเลาและก็ลดภาระหน้าที่หนี้สินที่มีอยู่เดิม

การให้กู้ยืมเงินทุนหมูนเวียนเพื่อแก้ไขหนี้สินเจ้าหน้าที่รัฐครู-อาจารย์ ประจำปีงบประมาณ พุทธศักราช 2563 ด้วยคณะกรรมการบริหารเงินทุนหมุนเวียนเพื่อจัดการกับปัญหาหนี้สินข้าราชการอาจารย์ ได้อนุมัติจัดแบ่งวงเงินให้กู้หนี้ยืมสินขอเงินทุนหมุนเวียน ให้เจ้าหน้าที่รัฐอาจารย์ระบุคลากรด้านการศึกษา ขึ้นอยู่กับสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา/ม้ธยมศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ที่ทำการ กรมการศึกษานอกโรงเรียน ที่ทำการศึกษาธิการจังหวัด แล้วก็สำนักบริหารการศึกษาพิเศษ ที่ยังคงรับราชการกู้หนี้ยืมสินทุนหมุนเวียนฯ เพื่อจ่ายและชำระหนี้ที่มีอยู่เดิม อันเป็นการบรรเทาแล้วก็ลดภาระหน้าที่หนี้สิน ตามหลักเกณฑ์รวมทั้งขั้นตอนการให้กู้ยืมเงินทุนหมุนเวียน พุทธศักราช 2563 ดังต่อไปนี้

1.เจ้าหน้าที่รัฐอาจารย์และก็พนักงานด้านการศึกษา ที่จะขอกู้ยืมงินทุนหมุนเวียนควรมีหนี้ที่มีอยู่จริง บังคับได้โดยชอบด้วยกฎหมาย (โดยมีลักษณะใดลักษณะหนึ่ง) ดังต่อไปนี้

-เป็นนี้เงินกู้ยืมที่มีข้อตกลงกู้หนี้ยืมสินกับแบงค์ หรือสหกรณ์ออมทรัพย์ หรือสถาบันการเงินอื่นโดยชอบด้วยกฎหมาย อยู่ก่อนวันยื่นกู้ยืมเงินทุนหมุนวียนมาแล้วไม่น้อยกว่า 6 เดือน หรือเป็นหนี้เป็นสินบัตรเครติต หรือบัตรสินเชื่อเงินสด อยู่ก่อนวันที่ 17 เดือนมกราคม 2563 (หนี้กยศ. หนี้เช่าซื้อ สินเชื่อเกี่ยวกับรถยนต์ หนี้บริษัท ประกันชีวิต หนี้เกี่ยวกับสวัสดิการสถานศึกษา หนี้สินกองหุนหมู่บ้าน อื่นๆอีกมากมาย ไม่สามารถที่จะกู้ยืมเงินได้)

-เป็นหนี้เป็นสินในฐานะผู้ค้ำประกันที่มีคำพิพากษา

2.จำนวนเงินให้กู้ยืมเงินคนละไม่เกิน 500,000 บาท อัตราค่าดอกเบี้ยจำนวนร้อยละ 4 ต่อปี ผ่อนส่งคืน ภายใน 12 ปี

3.คุณสมบัติของผู้กู้ยืม

-ดำรงตำแหน่งอาจารย์ ผู้บริหารโรงเรียน ผู้บริหารการศึกษา และก็เรียนรู้นิเทศก์ แค่นั้น

-รับราชการมาแล้วไม่น้อยกว่า 3 ปี

-มีเงินเดือนแล้วก็รายได้ทุกเดือนคงเหลือสุทธิ หลังหักชำระหนี้เงินทุนหมุนวียน ไม่น้อยกว่าจำนวนร้อยละ 30

-เป็นคนที่ทำหน้าที่ด้วยความมุมั่น ตั้งมั่น พากเพียร อุตสาหะ มีความประพฤติดี

-ในกรณีที่เคยป็นลูกหนี้งินทุนหมุนวียน จำต้องใช้หนี้ใช้สินเสร็จสิ้น โดยไม่มีการผิดนัดชำระหนี้มาก่อน

-ไม่เป็นคนที่อยู่ระหร่างถูกตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัย

 

สนับสนุนมาจาก  next88

สิ่งที่เด็กในกรุงเทพต้องเจอเมื่อพ่อแม่เลือกแนวทางการศึกษาให้

สำหรับคนที่เป็นพ่อเป็นแม่คน เมื่อลูกเกิดมาสิ่งทีต้องคิดตามมาหลังจากลูกเกิด

นอกเหนือจากว่าจะทำอย่างไรที่จะเลี้ยงลูกให้มีความสุขแล้ว ปัญหาใหญ่ที่พ่อแม่ทุกคนมักวิตกกังวลก็คือ  เมื่อถึงเวลาที่ลูกต้องเข้าโรงเรียน เราจะส่งลูกเข้าเรียนที่ไหนดี ซึ่งหากเป็นเมื่อในสมัยก่อนสิ่งเหล่านี้ พ่อแม่จะไม่ได้ต้องคิดมากนัก เพราะลูกสอบเข้าที่ไหนก็เรียนที่นั่น ขึ้นอยู่กับการเลือกของลูกเอง แต่ในสมัยนี้ไม่เหมือนกัน การแข่งขันของการสอบเข้าเรียนมีสูงขึ้นจากเดิมมาก

ซึ่งพ่อแม่ทุกคนก็หวังอยากจะให้ลูกของตัวเอง เข้าเรียนที่โรงเรียนดีดี มีชื่อเสียง มีเด็กเก่งที่ไปสร้างชื่อที่ต่างประเทศ ดังนั้นโรงเรียนในกรุงเทพจึงมีการแข่งขันค่อนข้างสูงเป็นอย่างมาก ทุกวันนี้พ่อแม่ส่วนใหญ่เมื่อรู้ตัวเองว่ากำลังจะมีลูก ก็ต้องเตรียมตัวหาข้อมูลโรงเรียนเอาไว้ก่อนแล้ว

และหลายคนยังมีการคำนวณว่าเด็กจะเกิดเมื่อไหร่ เข้าเรียนประมาณปีไหน และมีการไปจองการสมัครเรียนเอาไว้ให้ลูกล่วงหน้าแล้ว

ทั้งที่ลูกยังไม่คลอดออกมาเสียด้วยซ้ำไป  และเมื่อคลอดออกมาเด็กหลายคนมักจะต้องพบกับปัญหาพ่อแม่หาที่เรียนพิเศษเอาไว้ให้แล้ว ซึ่งเด็กเหล่านั้นยังไม่ได้เข้าเรียนเลยด้วยซ้ำ แต่ด้วยพ่อแม่ต้องการที่จะให้ลูกของตัวเองสามารถสอบเข้าโรงเรียนที่มีชื่อเสียงให้ได้ จึงต้องพาลูกไปเรียนพิเศษแทนที่เด็กเหล่านั้นจะได้ไปวิ่งเล่นเหมือนเด็กคนอื่นอื่นทั่วไป

ปัจจุบันเด็กหลายคนถูกพ่อแม่บังคับให้เรียนพิเศษโดยไม่เปิดโอกาสให้เด็กมีสิทธิ์เลือกเองว่าอยากเรียนหรือไม่ เคยสอบถามพ่อแม่บางคนที่พาลูกไปเรียนพิเศษส่วนใหญ่พ่อแม่จะมีการจัดตารางเอาไว้ให้แล้ว อย่างวันจันทร์ จนถึงวันศุกร์ หลังจากเลิกเรียนแล้วตั้งแต่สี่โมงเย็นจนถึงสองทุ่ม เป็นเวลาที่เด็กต้องเรียนพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นการเรียนเสริมจากที่ครูสอนในโรงเรียนแล้ว

ยังมีเรียนดนตรี และเรียนตี Golf ในตอนเย็นเพราะพ่อแม่มองว่านี่จะเป็น Profile ที่ดีให้กับลูกในอนาคตได้ และสำหรับวันเสาร์และวันอาทิตย์ เด็กก็จะต้องตื่นแต่เช้าเพื่อเป็นเรียนพิเศษเพิ่ม ทั้งเรียนเสริมคณิตศาสตร์ เรียนเสริมภาษาอังกฤษ เรียนเสริมภาษาจีน และยังมีเรียนเปียโน รวมถึงเรียนว่ายน้ำเพิ่มอีกด้วย 

เรียกได้ว่าตั้งแต่เช้า ยันค่ำของทุกวันเด็กสมัยนี้แทบไม่ได้หยุดพักเลยสักวัน ซึ่งเป็นสิ่งที่สร้างความกดดันให้กับเด็กเด็กมาก พ่อแม่หลายคนมองว่านี่การปูพื้นฐานการเรียนที่ดีให้กับลูกเพื่ออนาคตที่ดีของลูก จนลืมคิดไปว่าวัยเด็กของลูกหากผ่านไปแล้วไม่สามารถย้อนกลับมาได้ เราควรให้พวกเขาเรียนและเล่นไปพร้อมๆกันน่าจะดีกว่า เพื่อที่พวกเขาจะได้มีชีวิตในวัยเด็กอย่างมีความสุข 

การศึกษาไทยยุค 4.0

จากการที่เทคโนโลยี รวมทั้งข่าวสารในโลกปัจจุบันมีการเปลี่ยนอย่างเร็ว และต่อเนื่อง จึงส่งผลให้เกิดการสร้างสินค้า แล้วก็บริการใหม่ๆที่จะตอบสนองต่อสิ่งที่ต้องการของผู้ใช้ที่เปลี่ยนไป ในขณะที่เมืองไทยมีการวางนโยบายไทยแลนด์ 4.0 สำหรับการสร้างสรรค์ และก็ปรับปรุงเศรษฐกิจรูปแบบใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยสิ่งใหม่ เพื่อให้ไทยหลุดจากกับดักประเทศรายได้ปานกลาง ก็เลยทำให้ภาครัฐ รวมทั้งภาคเอกชน ต่างปรับพฤติกรรมให้สอดรับกับพลวัต และแนวนโยบายที่เกิดขึ้น

ทั้งนั้น การจะนำพาประเทศไปสู่แผนการที่วางไว้ สิ่งสำคัญคือจำต้องเร่งการพัฒนา แล้วก็เตรียมพร้อมให้กับคนรุ่นหลัง ไม่ว่าจะเกิดเรื่องวิทยาการคอมพิวเตอร์ การเขียนโปรแกรม การเขียนรหัส การวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆหรือสะเต็มเรียนรู้ (STEM education) ฯลฯ

เพื่อประเทศมีทรัพยากรมุนษย์ที่มีความถนัด มีคุณภาพสูง พร้อมจะปรับปรุงสิ่งใหม่เทคโนโลยีใหม่ๆสำหรับเพื่อการรองรับการแข่งขันที่เพิ่มสูงมากขึ้นถัดไป

“อักษร เอ็ดดูเคชั่น” ผู้พัฒนาสิ่งใหม่ด้านการศึกษา และดีไซน์กรรมวิธีการเรียนการสอนครบวงจร โดย “ตะวัน เทวอักษร” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อักษร เอ็ดดูเคชั่น จำกัด (มหาชน) ก็เลยเปิดเผยถึงเทรนด์การเรียนรู้ไทยในสมัย 4.0 แล้วก็แนวความคิดห้องเรียนที่ดีในสมัยที่เทคโนโลยีมีความเจริญรุ่งเรือง พร้อมกับการเตรียมพร้อมจัดงานประชุมสัมมนาวิชาการรายปี “Aksorn Teaching Forum 2018” ภายใต้แนวความคิด “อนาคตเด็กไทยสร้างได้ ด้วยผู้บริหารแล้วก็อาจารย์มืออาชีพ”

เบื้องต้น “ตะวัน” บอกว่า เพราะว่าเทคโนโลยี ข่าวสารที่มีอยู่มีการเปลี่ยนอย่างสม่ำเสมอ ก็เลยทำให้การเล่าเรียนในขณะนี้ควรต้องสร้างรากฐานความชำนาญวิชาความรู้ ความเข้าใจในมิติใหม่ๆให้กับเด็กไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งทักษะที่ศตวรรษที่ 21 อีกทั้งความรู้ความเข้าใจสำหรับในการคิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ การมีความสามารถสำหรับในการติดต่อที่ดี การทำงานร่วมกับคนอื่นๆ ตลอดจนการคิด การสร้างสรรค์ เพื่อทำให้มีการเกิดการพัฒนาของใหม่ในแบบผลิตภัณฑ์หรือบริการใหม่ๆ

พวกเรามั่นใจว่าประสิทธิภาพของเด็กนักเรียนเกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากกระบวนการเรียนการสอนที่ดี คุณครูปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้อำนวยการศึกษาแลกเปลี่ยนความนึกคิดซึ่งกันและกัน รวมทั้งการมีเนื้อหา และก็สื่อการศึกษาที่ดีที่จะช่วยเสริมให้นักศึกษามีความพร้อมเพรียงสำหรับโลกยุคสมัยใหม่ จนถึงต่อยอดไปสู่การศึกษาตลอดชาติ

ด้วยแนวทางอย่างนี้ ผมเชื่อว่าจะทำให้ห้องเรียนยุคใหม่เกิดขึ้นจริงในทุกสถานที่เรียนทั่วทั้งประเทศไทย หากแม้ในสถานที่เรียนที่ขาดแคลนเรื่องของทรัพยากรนั้น ทำให้การเข้าถึงอินเทอร์เน็ต ตรงนี้อาจไม่ใช่คำตอบทั้งสิ้น ซึ่งจากประเทศที่ติดอันดับด้านคุณภาพการเรียนรู้ระดับนานาชาตินั้น ตัวเลขการเข้าถึงเทคโนโลยีไม่ได้นับว่าเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เด็กนักเรียนมีผลการเล่าเรียนที่ดียิ่งขึ้นหรือแย่ลงเลย เพราะฉะนั้น การเข้าถึงเทคโนโลยีบางทีอาจเป็นเพียงองค์ประกอบหนึ่ง เนื่องจากว่าหัวใจสำคัญเป็นเรื่องการวางแบบกระบวนการเรียนการสอนในห้องเรียนมากยิ่งกว่า