จุดจบของสิ่งมีชีวิตและระบบสุริยะจักรวาล

สำหรับข้อมูลที่เราได้ไปศึกษาหามานักวิทยาศาสตร์ที่เขาได้ไปทำการค้นคว้าเกี่ยวกับดวงอาทิตย์และการเจริญเติบโตหรือวิวัฒนาการของดวงอาทิตย์กันมาเขาได้บอกว่า ดวงอาทิตย์ของเรานั้นจะขยายตัวใหญ่ขึ้นๆเรื่อยๆจนมันได้กลายมาเป็นดวงยักษ์แดงที่มีอุณหภูมิที่มากกว่าดวงอาทิตย์ที่มีอยู่ในตอนนี้ไม่ต่ำกว่า10-100เท่าและขนาดมันอาจจะใหญ่ไปกว่าเดิมมากกว่า2/3เท่ากันเลยทีเดียวเลย

และแน่นอนว่าขนาดของดวงอาทิตย์ที่มันได้ใหญ่มากขึ้นแต่ระบบวงโคจรของโลกหรือดาวบริวารต่างๆมันก็ยังได้อยู่ในรูปแบบเดิมมันก็เลยย่นระยะทางให้ดวงดาวเหล่านั้นได้อยู่ไกลกับดวงอาทิตย์ได้ใกล้มากขึ้นมันก็เลยทำให้ดวงดาวเหล่านั้นอุณหภูมิมันได้สูงขึ้นเรื่อยๆและแน่นอนว่าดาวโลกของเรานั้นมันก็ยังได้เป็นหนึ่งในดาวที่จะได้รับผลกระทบนั้นอย่างแน่นอน ซึ่งความคิดตรงจุดนี้มันก็ได้มีความคิดที่มันได้แตกกันเป็นอยู่สองอย่างนั่นก็คือ

อย่างแรกเขาได้คาดการณ์กันว่า เมื่อดวงอาทิตย์ได้ถึงจุดหนึ่งที่มันได้ขยายใหญ่สุดและพลังงานพร้อมที่จะระเบิดออกมามันก็จะระเบิดออกมาจนมันได้กลายมาเป็นดวงอาทิตย์ที่เล็กลงมากว่าสองเท่าที่มันได้เป็นก้อนคล้ายกับดวงดาวแคระขาวที่มันได้ส่องสว่างและมันไม่ได้มีความร้อนอะไรมากมายแต่ความร้อนก่อนหน้านั้นมันก็ได้เผาดวงดาวอื่นๆไปปหมดแล้วมันเลยทำให้ดวงดาวอื่นๆ

ที่อยู่ในบริวารของดวงอาทิตย์นั้นมันจะกลายเป็นดวงดาวที่แห้งแร้งไม่มีน้ำไม่มีสิ่งที่มีชีวิตไม่เหลืออะไรเลยนอกจากก้อนหินเปล่าๆที่มันได้อยู่ในลักษณะของโลกนั่นเอง ส่วนกรณีที่สองอีกกรณีหนึ่งเขาไม่ได้คาดการว่าดวงดาวต่างๆที่เป็นบริวารหรือดาวโลกของเราจะถูกเผาแต่สิ่งที่มันจะเกิดขึ้นในช่วงที่ดวงอาทิตย์มันจะขยายตัวและมันได้ระเบิดออกมามันน่ากลัวกว่าในกรณีแรกอีกนั่นก็คือมันจะเกิดหลุมดำขนาดใหญ่

ที่มันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนและหลุมดำนั้นมันจะดูดทุกอย่างเข้าไปไม่ว่าจะเป็นดาวบริวารต่างๆรวมถึงโลกของเราเข้าไปอยู่ในหลุมดำนั้นและนั่นเองมันก็คือจุดจบของสิ่งที่มีชีวิตและระบบสุริยะจักรวาลที่เขาได้คาดกันนั่นเอง และตรงจุดนี้เราก็ยังได้พูดยำคำเดิมว่านี่มันเป็นการคาดเดาเท่านั้น

และการคาดเดาตรงนี้มันได้เป็นการคาดเดาระดับ100ล้านปีข้างหน้าหรืออีก1,000ล้านปีข้างหน้าหรืออีกล้านปีเราก็ยังไม่รู้แต่เขาได้คาดการณ์กันว่านี่มันน่าจะเป็นจุดจบที่มันน่าจะเกิดขึ้นกับโลกของเราและดวงอาทิตย์ของเราอย่างแน่นอน

 

สนับสนุนโดย  เว็บพนัน ถูกกฎหมาย

ดวงอาทิตย์ได้ดับลงไป มันจะมีอะไรเกิดขึ้นมาหลังจากนั้น?

สิ่งที่น่ากลัวมากที่สุดที่เป็นผลกระทบต่อโลกของเราหลังจากที่ดวงอาทิตย์หายไป โลกของเราจะหายสมดุลทั้งพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าและเสียสมดุลทั้งวงโคจรที่เคยโคจรรอบดวงอาทิตย์ หลายๆคนก็อาจจะรู้ว่าโลกของเรานั้นมันได้เป็นดาวบริวารของดวงอาทิตย์แล้วก็โลกของเรามันได้โคจรอยู่รอบวงดวงอาทิตย์อย่างเป็นระเบียบแต่อยู่ดีๆเมื่อดวงอาทิตย์ได้หายไปหรือดวงอาทิตย์ได้ดับสูญไปวงโคจรเหล่านั้น

มันก็จะหยุดชงักลงโลกของเราที่มันเคยโคจรอยู่รอบดวงอาทิตย์มันก็จะหยุดลงและมันได้กลายมาเป็นดวงดาวหรือมันได้เป็นก้อนหินที่มันได้ลอยอยู่ในอวกาศโดลที่เรานั้นไม่รู้เลยว่าเราจะลอยไปไหน ซึ่งแน่นอนแล้วว่าจากที่มันได้เคยโคจรอยู่รอบดวงอาทิตย์และมันได้มีสนามแม่เหล็กไฟฟ้าในการที่จะป้องกันทั้งอุกกาบาตป้องกันพลังคลื่นพลาสม่าหรือคลื่นต่างๆที่มันสามารถมาจากนอกโลก

ได้คลื่นแม่เหล็กเหล่านั้นที่มันได้เปรียบเสมือนโล่ป้องกันของเรามันได้หายไปและแน่นอนว่าอุกกาบาตหรืออะไรก็แล้วแต่มันก็จะมีโอกาศพุ่งเข้ามาชนโลกอีกหลายเท่า จากการณ์คาดการณ์เขาได้คาดการณ์กันว่าถ้าสนามแม่เหล็กของโลกเรามันได้หายไปหลังจากที่ดวงอาทิตย์ได้ดับสูญไปมันจะมีอุกกาบาตพุ่งเข้ามาชนโลกของเราไม่ต่ำกว่า100ลูกต่อวันแต่มันก็ยังดีที่โลกของเรามันได้มีชั้นบรรยากาศมัน

ก็จะเกิดการเผาผลาญและเกิดการเผาไหม้จนอุกกาบาตก้อนใหญ่ๆเหล่านั้นเข้ามาในโลกของเราเหลือแค่เพียงขนาดเท่ารถบรรทุกหรือขนาดตึกใหญ่ๆตึกหนึ่งแต่ความเสียหายมันก็คือระบอุกกาบาตพุ่งเข้าชนโลกมันก็คงจะเกิดให้มีความเสียหายและได้เกิดการสูญหายได้เป็นอย่างมากแน่นอน

ไม่เกิดหนึ่งเดือนสิ่งที่มีชีวิตมันก็น่าจะหมดลงไปจากโลกอย่างแน่นอนและตรงนี้มันก็คือข้อที่ได้คาดการณ์มาทั้งหมดหลังจากที่ดวงอาทิตย์มันได้ดับสูญไป ในกรณีที่ดวงอาทิตย์ไม่เกิดการระเบิดนั่นเองและตรงจุดนี้ยังได้ย้ำคำเดิมว่านี้มันคือการคาดเดาเพียงเท่านั้นและนี้มันก็ยังได้เป็นความคิดเห็นโดยส่วนน้อยที่นักวิทยาศาสตร์เขาได้เชื่อกันแต่ในความคิดเห็นตรงส่วนมากเขาไม่ได้มองว่าดวงอาทิตย์

มันจะหมดพลังงานไปในรูปแบบของการดับสูญไปและไม่ได้เกิดอะไรทั้งสิ้นแต่เขากลับมองว่าจุดจบของดวงอาทิตย์มันคือการระเบิดครั้งใหญ่จนมันได้กลายมาเป็นดาวแคระขาวที่ส่องสว่างไปพวกระบบสุริยะจักรวารก่อนที่มันจะหมดพลังงานและกลายเป็นดาวแคระดำไปนั้นเอง

 

ได้รับการสนับสนุนโดย  เว็บพนัน ไฮโล

สิ่งลี้ลับที่นักวิทยาศาสตร์ก็ยังพิสูจน์ไม่ได้

เรื่องบางเรื่องแม้แต่นักวิทยาศาสตร์ก็ยังหาคำตอบกับมันไม่ได้ เพราะมันเป็นเรื่องที่ลี้ลับและไม่มีใครที่สามารถพิสูจน์ได้ว่ามันมีจริงหรือไม่ สำหรับวิญญาณที่เรามักได้ยินบ่อยๆตามรายการต่างๆ หรือเป็นเรื่องที่เล่าขานกันมาไม่ว่าจะเป็น พ่อ แม่ เพื่อน ญาติพี่น้องหรือคนรู้จักก็ตาม แต่อันที่จริงเราก็ไม่อาจหาคำตอบได้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้มันมีความจริงมากน้อยเพียงใด 

บางคนเห็นกับตาแต่ก็ไม่มีใครสามารถพิสูจน์ได้ว่าเรื่องเหล่านั้นที่เราเห็นมันคืออะไร และนักวิทยาศาสตร์ก็มิอาจค้นหาหรือศึกษาออกมาได้ว่าสิ่งลี้ลับต่างๆที่เราเจอกันนั้นมันคือเรื่องจริงหรือไม่ แล้วมันเกิดจากอะไร

แม้แต่นักวิทยาศาสตร์ก็มิอาจตอบได้ว่าสิ่งที่ใครต่อใครพูดมันคืออะไร หากเป็นการศึกษาค้นพบมนุษย์ต่างดาวยังมีหลักฐานและยังมีที่มา มีความน่าจะเป็นและสามารถพูดได้ว่ามีจริง แต่นั้นก็ไม่ได้มีคำตอบให้กับสิ่งลี้ลับในโลกของเรา เพราะสิ่งลี้ลับเหล่านี้มีทุกประเทศและเป็นความแตกต่างกันตามประเพณีขอองพื้นที่หรือเขตเหล่านั้น แต่ก็ไม่มีนักวิทยาศาสตร์คนไหนเลยที่จะกล้าพูดได้เต็มปากว่าสิ่งลี้ลับมีจริง และยังไม่มีใครที่จะพิสูจน์กับสิ่งเหล่านี้ได้เลย

นักวิทยาศาสตร์สามารถพิสูจน์หรือคิดค้นเรื่องราวต่างๆให้เป็นประโยชน์และให้เราได้นำมาใช้อยู่ทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นการประดิษฐสิ่งของรถยนต์ต่างๆ หลอดไฟ ไฟฟ้า ทุกสิ่งอย่างที่เราเห็นและเราใช้ก็เป็นสิ่งประดิษฐก็ว่าได้ แต่สำหรับเรื่องลี้ลับกลับกลายเป็นสิ่งที่ไม่มีใครให้คำตอบกับมันได้

แต่จากการประดิษฐหุ่นยนต์ที่จะนำมาใช้ให้เราสบายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเครื่องดูฝุ่น หรือหุ่นนยนต์ที่ไปสำรวจนอกโลก นักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายก็ยังสามารถประดิษฐพวกเขามาได้ แต่ก็เป็นการแปลกยิ่งนักที่ไม่มีใครหาคำตอบเกี่ยวกับข้อมูลหรือเซ้นท์ที่พวกเราเรียกว่าหมอผีได้ 

ซึ่งไม่มีใครหาคำตอบในสิ่งลี้ลับเหล่านี้ได้เลย อาการผีเข้าในหลักวิทยาศาสตร์อาจจะมีมุมมองได้ แต่สำหรับดวงวิญญาณที่มีเหตุการณ์หลายๆอย่างที่เราพบเจอก็ยังไม่มีใครสามารถพิสูจน์ให้กับเรื่องลี้ลับเหล่านี้ได้เลย 

แต่ไม่ว่าเรื่องลี้ลับเหล่านี้ทางนักวิทยศาสตร์จะไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่ามันเป็นเรื่องที่เกิดจากอะไรกันแน่ แต่ที่แน่ๆนักวทยาศาสตร์ทั้งหลายพวกเขาสามารถสร้างและประดิษฐสิ่งต่างๆที่เราได้ใช้

เพื่อเป็นความอำนวยความสะดวกสบายให้แก่พวกเราอยู่ทุกวันนี้ ต้องบอกว่าเรามีความสุขสบายอยู่ทุกวันนี้ก็เพราะมีนักประดิษฐทั้งหลายและนักวิทยาศาสตร์เหล่านี้ที่เป็นคนคิดค้นที่เราต้องจดจำ และจารึกไว้เพื่อให้ลูกหลานรู้จักพวกเขาเหล่านี้ตลอดไป

 

ได้รับการสนับสนุนโดย  bk8

วิทยาศาสตร์ในร่างกาย

เรารู้หรือไม่ว่าเรื่องบางเรื่องในตัวเรานั้นก็มีจุดที่บอกไม่ได้เหมือนกัน ว่ามีวิทยาศาสตร์

มนุษย์พลังงาน ในตัวหรือร่างกายเรานั้นมีกระแสไฟฟ้าที่สามารถสร้างไฟได้เปรียบเทียบเท่ากับหลอดไฟฟ้า  120  วัตต์

การกะพริบตานั้นมีใครสามารถบอกได้บ้างว่าวันหนึ่งเราสามารถกระพริบตานั้นได้กี่ครั้ง การที่เรานั้นกระพริบตานั้น ต่อวันเรากระพริบต่อวันหนึ่ง 10000 ครั้งต่อวัน จึงทำเรานั้นเปรียบเทียบเท่ากับเราวิ่งออกกำลังกาย 80 กิโลเมตรต่อวันเลย

สมอง คุณเชื่อหรือไม่ว่าตอนที่เราเกิดมาตั้งแต่ตอนแรกเกิดสมองเรานั้นมีน้ำหนักเท่ากับตัวเราที่เราเกิด แต่พอโตขึ้นเราอายุ  15  ปี สมองของเรานั้นหนักเหลือแค่ 1.5 กิโลกรัมเพราะว่าสมองของเรานั้นเล็กลง แต่ว่าสมองของเรานั้นเติบโตเพราะว่าการที่เรานั้นหายใจเข้าไป แล้วก็เลือดที่เรานั้นไปเลี้ยงสมอง 

เส้นขนของเรานั้น คุณรู้หรือไม่ว่าทั่วร่างกายของเรานั้นมีขน มีอยู่ที่ไม่มีคือ ฝ่ามือ ฝ่าเท้า บริเวณริมฝีปาก คุณรู้หรือไม่ว่าหนวดเป็นขนที่มีความแข็งแรงเทียบเท่ากับทองเหลือง 

ตาที่สาม คุณรู้หรือไม่ว่าเรานั้นมีตาที่สามอยู่ที่ต่อมไพเนียลอยู่ที่ศรีษะของเรานั่นเอง

การที่เรานั้นจามคุณรู้ไหมว่าการจามนั้นมีต่อมน้ำลาย100000 หยดเลยที่เดียวเพราะสามารถกระเด็นได้ไกลถึง 152  ฟุตต่อวินาทีเลยทีเดียว การที่เรานั้นขมวดคิ้วนั้นทำให้เกิดรอยตีนกา ดังนั้นเราควรที่จะยิ้มมากกว่าการที่เรานั้นหน้าบึ่งอีกค่ะ 

คนเราทุกคนเคยผ่านเรื่องการที่เรานั้นร้องไห้โดยที่ไม่มีน้ำตา เพราะว่าตั้งแต่เราเกิดมาตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 3-4 เดือนนั้นเราเราอาจร้องไห้ แต่เสียง ใช่ค่ะคุณรองสังเกตสิว่าเด็กที่แรกเกิดนั้น ร้องไห้โดยที่ไม่มีน้ำตา แต่หลังจากสี่เดือนนั้นเราจะเริ่มมีน้ำตา  หิวเพราะกลิ่น ใช่ค่ะการที่เรานั้นเคยได้กลิ่นที่อาหารนั้นลอยมา แล้วทำให้เรานั้นหิว ต่อมน้ำลายนั้นเกิดอยากกินอาหารแต่ทั้งที่เรานั้นอิ่มอยู่แล้วไม่อยากกินอาหารนั้นแล้ว 

การที่เรานั้นเขินอาย เคยสังเกตไหมว่าการที่เรานั้นเขินทำไมหน้าของเรานั้นต้องแดงกว่า โดยเฉพาะตรงที่แก้ม เพราะเวลาที่เรานั้นเขินระบบในร่างกายนั้นจะหลั่งสารออกมาจนทำให้หน้าและบริเวณตรงคอนั้นแดงกว่าปกติ 

ใช่ค่ะในร่างกายเรานั้นต้องมีเรื่องที่เรานั้นเจอกับเรื่องของวิทยาศาสตร์ในร่างกายเราอีกเยอะแยะมากมาย บางทีนั้นผลของวิทยาศาสตร์ก็ไม่สามารถที่จะยืนยันได้ 

เรื่องที่หน้ารู้ทางวิทยาศาสตร์น้ำหนักลด  เชื่อไหมว่าการที่เรานั้นนอนหลับเรานั้นน้ำหนักลด ถึง  300 กรัม ทุกวันตอนที่เรานอนหลับ แต่อย่าพึ่งดีใจไปเลยค่ะ เพราะหลังจากที่เรานั้นตื่น น้ำหนักเรานั้นก็กลับมาเท่าเดิมค่ะ  

 

สนับสนุนโดย  bk8

ถ้าโลกหยุดหมุนจะเกิดอะไรขึ้น?

สำหรับกรณีที่เรื่องของโลกจะหยุดหมุนคือเราจะต้องทำความเข้าใจเบื้องต้นก่อนเลยว่าในยุคปัจจุบันที่เรายืนอยู่ในโลกตอนนี้โลกของเรานั้นมันได้มีการหมุนรอบตัวเองอยู่ตลอดเวลาและมันก็ยังได้หมุนรอบดวงอาทิตย์ ซึ่งตรงนี้ได้เอาตามที่เรารู้และได้เรียนรู้กันมาตั้งแต่เด็ก ซึ่งถ้าหากว่าเอาตามข้อมูลเขาได้บอกว่าระบบสุริยะจักรวาลของเราของนั้นมันได้เกิดมาเมื่อประมาณ4,500ล้านปีก่อนจากการหมุนของก๊าซและฝุ่นผงในอวกาศ

จนมันได้ก่อตัวขึ้นแล้วโลกของเราก็ได้รับอิทธิพลจากการหมุนของระบบสุริยะมาด้วย ซึ่งในที่บันทึกเอาไว้นั้นเขายังได้บอกเอาไว้อีกว่าโลกของเรานั้นได้มีความเร็วในการหมุนรอบตัวเองอยู่ที่ ณ ปัจจุบัน1,674.4กิโลเมตร ต่อชั่วโมงและนักวิทยาศาสตร์เขาคาดเดากันว่าทุกๆ100,000ปีโลกของเรานั้น

มันจะหมุนตัวช้าลง2นาที ซึ่งพอฟังดูแล้วมันค่อนข้างที่จะน้อยแล้วมันค่อนข้างที่จะใช้ระยะเวลานานมากกว่าที่มันจะหมุนหรือมันจะค่อยๆชรอตัวลงแต่ในยุคปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์หลายๆคนเขาก็ได้ตะหนักถึงเรื่องการที่โลกชรอตัวการหมุนอยู่พอสมควรเลย

เพราะหลายๆเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันบนโลกเรามันได้มีแนวโน้มสูงมากที่จะทำให้การชรอตัวบนโลกลงมาเร็วขึ้นแล้วถี่กว่าเดิมเขาเลยตั้งข้อสมมุติฐานและได้มีการศึกษากันว่าในกรณีถ้าโลกของเราได้ชรอการหมุนตัวรอบตัวลงไปเรื่อยๆมันจะเกิดอะไรขึ้นและถ้าเกิดโลกของเรานั้นหยุดหมุนมันจะเกิดอะไรขึ้น ซึ่งตรงนี้จากข้อมูลที่ได้ไปหามาบอกเลยว่ามันค่อนข้างที่จะน่ากลัวมากโดยสิ่งแรกเลยที่มันจะเกิดขึ้นแน่ๆ

หลังจากที่โลกได้มีการชรอการหมุนรอบตัวลงนั้นก็คือเวลาที่เปลี่ยนไป โดยเวลาที่เปลี่ยนไปตรงนี้ต่อให้มันได้มีการเปลี่ยนไปแค่1-2นาที มันส่งผลกระทบบเยอะมากและมันก็ยังส่งผลกระทบไปหลายส่วนมาก โดยเขาได้บอกว่าในปัจจุบันของเราได้ใช้gpsจากดาวเทียมเพื่อกำหนดเวลาโลกในแต่ละวันแต่ถ้าวันใดวันหนึ่งโลกของเรานั้นมันได้มีการหมุนตัวช้าลงแม้แต่นาทีเดียวมัน

ก็จะทำให้เวลาทั้งโลกแปลกไปเลยและระบบgpsต่อนี้มันจะส่งผลไปถึงอุตสาหกรรมการบินต่างๆไม่ว่าจะเป็นการขนส่งคนหรือขนส่งสินค้าเพราะในการที่จะจอดเครื่องบินในแต่ละครั้งทางสนามบินจะต้องมีgpsในการกำหนดเวลาในการกำหนดเส้นทางและเวลาที่เหมาสมในการลงของแต่ละเครื่องให้พอดีกันถ้ามีการคลาดเคลื่อนแม้แต่นาทีเดียวหรือสองนาทีผิดพลาดพร้อมกันหลายๆลำมันก็อาจจะทำให้เกิดอุบัติเหตุเกิดขึ้นได้ ซึ่งgpsในปัจจุบันนี้เขายังไม่ได้ผลิตออกมาให้มีการลองรับการหมุนตัวของโลกที่ช้าลงมันเลยจะทำให้ส่งผลกระทบตรงจุดนี้และมันก้อาจจะทำให้เกิดอุบัติเหตุในหลายพื้นที่ได้

 

สนับสนุนโดย  เว็บพนัน โปรดี

ดวงอาทิตย์ได้มีการอ่อนแรงจากแม่เหล็กไฟฟ้า

เรื่องราวของดวงอาทิตย์ ที่อ่อนแรง ผิดปกติ เมื่อเทียบกับดาวฤกษ์ ในช่วงหนึ่งทศวรรษที่ผ่านมา ดวงอาติทย์ได้ปรากฎการณ์เกิดการปะทุพลังงานรุนแรงเช่นการเกิดเปลวสุริยะหรือโซล่าแฟร์

รวมทั้งพายุสุริยะที่สร้างความเสียหายแก่เครือข่ายเทคโนโลยีต่างๆบนโลกอยู่หลายครั้งแต่ เมื่อนำเอาข้อมูลการเคลื่อนไหวทางแม่เหล็กไฟฟ้าเหล่านี้ได้นำเอาไปลองเทียบเข้ากับดาวฤกษ์ที่เป็นดวงอื่นๆซึ่งสำหรับเหล่านักดาราศาสตร์และพวกเขาได้เห็นว่าดวงอาทิตย์ของเรานั้นได้ถือว่ามันค่อนข้างที่จะอ่อนแรงกว่าเพื่อนมากอยู่หลายเท่าอีกทั้งด้านข้อมูลที่เกี่ยวกับความเคลื่อนตัวในการเปลี่ยนแปลง

ส่วนแม่เหล็กไฟฟ้าที่ดวงอาทิตย์ซึ่งอย่างไรก็ตามในช่วง9,000ปีที่แล้วก็ได้มีเหล่าจำนวนของจุดมืดที่ได้เกิดขึ้นอยู่ในดวงอาทิตย์ในช่วงทุกๆปีที่เขาได้มีการบันทึกเอาไว้ได้อย่างชัดเจนที่มีศักยภาพซึ่งมันก็ได้มีมาตั้งแต่ในช่วงปี1010 ที่มีความเกี่ยวข้องในการขยายตัวกัมมันตภาพรังสีและธาตุคาร์บอนที่มันได้อยู่ในปีของต้นไม้ ทั้งนี้ก็ยังได้มีชั้นน้ำแข็งที่มันได้อยู่ในชั้นของบรรยากาศ

ซึ่งที่ได้มีการขุดเจาะและได้นำเอามันขึ้นมานอกจากนี้นักวิจัยก็ยังได้ทราบอีกว่า ซึ่งในเวลากว่าหนึ่งหมื่นปีที่มันได้เป็นสิ่งเล็กๆของสิ่งที่มันได้มีชีวิตอย่างยาวนานซึ่งมันก็ได้มีอายุประมาณสี่หมื่นหกพันล้านปีในดวงอาทิตย์ซึ่งก็ได้มีการเคลื่อนไหวสับเปลี่ยนระบบแม่เหล็กไฟฟ้า

อาทิเช่นการเปลี่ยนแปลงการส่องสว่างที่มันได้มีการเกี่ยวข้องกันกับสิ่งที่มันทำให้เกิดการปะทุกันได้หลาก หลายรูปแบบซึ่งมันได้มีความร้ายแรงซึ่งมันก็ไม่ได้ต่างไปจาก10ปีที่ผ่านมาหลังจากนั้นก็ได้นำเอาข้อมูลที่นักดาราศาสตร์ได้มานี่ก็ได้เอาไปเทียบเข้ากับดาวฤกษ์ที่มันอาจจะดูคล้ายกันเหมือนกับดวงอาทิตย์

โดยได้มีดาวฤกษ์ที่มันได้มีอายุที่ได้หมุนโดยรอบตัวเองสำหรับอุณหภูมิที่อยู่ในพื้นผิวที่รวมไปถึงสัดส่วนของธาตุหนักที่มันได้มีส่วนองค์ประกอบที่ได้มีความไกลเคียงกันทั้งหมด369ดวง จากนั้นผลรับที่ได้กลับมาได้บ่งบอกว่าดวงอาทิตย์นั้นมันได้มีการเคลื่อนไหวที่มันได้มีการเปลี่ยนแปลงด้านแม่เหล็กไฟฟ้า

ซึ่งมันได้มีพลังที่น้อยไปกว่าเพื่อนประมาณ5เท่านอกจากนี้ก็ยังได้มีทีมของเหล่านักวิจัยได้ออกมาเปิดเผยอีกว่าผลจากที่เรานั้นได้ทำการศึกษาก็ยังได้บ่งบอกอีกว่าดวงอาทิตย์นั้นมันได้อยู่ในเวลาที่สงบนิ่งประมาณเมื่อ9,000ปี ถ้าอย่างนั้นก่อนหน้านี่ด้านนักวิทยาศาตร์ก็ยังได้มีความเข้าใจในเรื่องของการเคลื่อนไหวในการเปลี่ยนแปลงของแม่เหล็กไฟฟ้า

 

สนับสนุนโดย  bk8 john terry

ประเทศจีนเป็นชาติที่3ที่ได้ส่งยานไปจอดดาวอังคารได้อย่างสำเร็จ

ในเดือนพฤศจิกายนปี2019ที่ผ่านมา สำนักข่าวซินหัวของประเทศจีนได้เผยภาพการทดสอบยานสำรวจดาวอังคารของประเทศจีน ซึ่งได้มีข่าวมาก่อนหน้านี้ว่ามันจะถูกส่งขึ้นไปในปี2020 ซึ่งในปี2020นี้

เป็นปีที่ดาวอังคารเข้ามาใกล้และมีความเหมาะสมที่จะส่งยานเข้าไปทำการสำรวจทั้งทางนาซ่าและESAก็ได้มีการวางแผนส่งยาน mars2020 ซึ่งเรานั้นจะสามารถสังเกตได้เลยว่าการที่จะส่งยานขึ้นไปทำการสำรวจที่ดาวอังคารนั้นมันจะมีการเกิดขึ้นมาในทุกๆ2ปี เช่นยานของนาซ่าที่ได้ส่งขึ้นไปทำการสำรวจเมื่อในปี2018

แต่เมื่อในปีก่อนหน้านี้ที่มันจะได้เป็นครั้งแรกที่ประเทศจีนนั้นจะเป็นประเทศที่3ที่จะสามารถส่งยานขึ้นไปทำการสำรวจที่ดาวอังคารนับจากอดีตจากสหภาพโซเวียตหรือรัฐเซียสหรัสอเมริกาและฝั่งทางกลุ่มประเทศยุโรป ซึ่งในปี2019ผลงานที่ได้มีความน่าทึ่งมากที่สุดของประเทศจีน

ที่เราจะไม่กล่าวถึงไม่ได้เลยก็คือกรที่จะส่งยานชื่อยานฉางเอ๋อให้ขึ้นไปจอดที่บนดวงจันทร์ที่มันได้มีความห่างไกลได้อย่างสำเร็จเป็นชาติแรกโดยได้อาศัยเทคโนโลยีการส่งยานไปรีเลย์สัญญาณเพื่อที่จะทำให้ยานนั้นมันสามารถทำการสือสารกับโลกได้และรูปภาพที่ออกมามันก็คือรูปภาพที่ทำการทดสอบในการลงจอดของยานที่มันพร้อมกับแบบจำลองของยาน

ที่มันได้มีความใกล้เคียงกับยานหั่วซิงที่มันเป็นภาษาจีนที่มันแปลว่าดาวอังคารและมันก็ยังได้เป็นยานที่เอาไว้ทำการสำรวจดาวอังคารมันได้มีข่าวมาก่อนหน้านี้แล้วว่าประเทศจีนนั้นยังอยู่ในระหว่างการพัฒนานอกจากนี้ทางด้านซีเอ็นเอสเอและองค์กรด้านอวกาศของประเทศจีนก็ได้มีการนำเอาเรื่องราวเอาออกมาเปิดเผยเกี่ยวกับเรื่องยานลำนี้มาสักระยะหนึ่งได้แล้วแต่อย่างไรก็ตามที่มันขึ้นไป

และในการลงจอดนั้นมันมีการลงจอดที่ยากมากนั่นเอง เนื่องจากที่การลงจอดที่ดาวอังคารนั้นมันเป็นอะไรที่มันได้มีความยากมากและมันก็ได้ทำความเสียหายให้กับยานไปกว่า50%จากที่ได้มีการพยายามมาทั้งหมด หากแม้ในอดีตของสหภาพโซเวียตหรือรัสเซียที่ได้เป็นเจ้าแรกที่ได้ส่งยานการ์ตูนมา

เพื่อที่จะขึ้นไปลงจอดที่ดาวอังคารได้เป็นเจ้าแรกตั้งแต่ในปี1962จนมาถึงทุกวันนี้ที่ได้ทำให้มีโครงการรวมกันกับesaในช่วงปี2018มันก็ไม่ประสบผลสำเร็จและจะต้องมารอลุ้นกันต่อว่าในปี2020นี้จะทำสำเร็จหรือไม่ นอกจากนี้ทางฝั่งของสหรับอเมริกาที่ได้เป็นเจ้าแรกที่ได้ลงจอดบนดาวอังคารได้อย่างประสบผลความสำเร็จ

 

สนับสนุนเรื่องราวโดย  bk8th

ถ้าไข่ตกจากที่สูงทำไงไม่ให้แตก

          วันนี้ลูกสาวที่เรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 มาให้สอนการบ้าน โดยลูกสาวบอกว่าคุณครูวิทยาศาสตร์ให้โจทย์มาทดลองทำดูที่บ้านแล้ววันจันทร์ค่อยไป Present ให้เพื่อนๆในห้องดู ว่าทำอย่างไรถึงจะสามารถโยนไข่ไก่สด ลงมาจากชั้น 4 ได้โดยที่ไข่ไม่ได้แตก

ซึ่งลูกสาวบอกว่าครูให้แบ่งเป็นกลุ่มๆช่วยกันคิด แต่คิดอย่างไร ลูกสาวก็คิดไม่ออกเลยมาขอให้แม่ช่วยคิดหน่อย เมื่อได้ยินโจทย์ที่ลูกสาวได้รับมาจากคุณครูที่โรงเรียนทำให้มานั่งนึกย้อนไปถึงเมื่อ 30 ปีที่แล้วคุณครุที่โรงเรียนจะสอนวิชาวิทยาศาสตร์ให้ทดลองโยนไข่ไก่ลงมาจากที่สูง

โดยคุณครูมีกำหนดไว้ด้วยว่า ทำอย่างไรก็ได้ไม่ให้ไข่แตก นี่ก็ผ่านไป 30 ปีแล้ว แต่การทดลองวิทยาศาสตร์เรื่องการโยนไข่จากที่สูงก็ยังนำมาสอนกันอยู่ จึงให้คำแนะนำลูกสาวในฐานนะที่เคยทดลองมาก่อนว่าวิธีการโยนไข่ลงมาแล้วไม่แตกนั้นมีมากมายหลายวิธี เช่น 

          ห่อหุ้มด้วยขนมมาร์ชเมลโลว์  เพราะขนมชนิดนี้จะมีความนุ่มมากเป็นพิเศษ โดยให้นำกล่องที่มีขนาดใหญ่กว่าไข่มา 1 ใบ เทขนมมาร์ชเมลโลว์ใส่ลงไปครึ่งกล่องแล้ว นำไข่ไก่วางไว้ตรงกลางกล่อง หลังจากนั้นเทมาร์ชเมลโลว์ให้เต็มกล่องโดยพยายามยัดขนมมาร์ชเมลโลว์ไว้ทั้งด้านข้างและด้านบนให้หนา อย่าให้มีช่องว่างให้ไข่ไก่กลิ้งได้ เสร็จแล้วเอาสกอร์ตเทปติดกล่องทั้งด้านบน ด้านล่าง และด้านข้างไม่ให้กล่อง

เปิดออกได้หลังจากนั้นนำกล่องไปใส่ในถุงพลาสติกอีกชั้นมัดให้แน่น หลังจากนั้นก็มาถึงขั้นตอนการเตรียมการโยนไข่ ถ้าเราโยนไข่ไก่ลงมาแบบนั้นเลยจะมีผลต่อแรงกระแทกเยอะ ความเป็นไปได้ที่ไข่ไก่จะแตกจะมีสูงมาก ดังนั้นวิธีที่จะช่วยลดแรกดึงดูดของพื้นผิวโลกที่มีต่อไข่นั้น ให้หาถุงพลาสติกขนาดใหญ่มาทำเป็นร่มชูชีพ โดยผูกเชือกกับถุงไข่ให้แน่น

การที่เราทำร่มชูชีพจะช่วยลดแรกกระแทกได้มากขึ้นเพราะกล่องไข่จะค่อยๆร่วงลงมาแทนที่จะดิ่งลงมาเลย เมื่อแนะนำวิธีนี้ให้ลูกสาว การพูดปากเปล่าอาจไม่เห็นผล จึงต้องลงมือปฏิบัติจริงให้ลูกดู โดยเริ่มด้วยช่วยกันหาอุปกรณ์ ( วิธีนี้อาจไม่ค่อยคุ้มเพราะเสียเงินมากในการซื้อขนมมาร์ชเมลโลว์มาใช้ในการทดลอง ) เมื่อเตรียมอุปกรณ์การเรียบร้อยแล้วจึงเริ่มการทดลองกันเลย ซึ่งผลที่ออกมาก็ได้ผลดีเกินคาด กล่องไข่ที่เรามีการบรรจุขนมมาร์ชเมลโลว์ไว้รอบด้านนั้นเมื่อเปิดออกมาไข่ไม่แตกเลย ลูกสาวจึงนำวิธีการนี้เพื่อไปแสดงให้คุณครูและเพื่อนดูในวันจันทร์หน้า 

 

ได้รับการสนับสนุนโดย  bk8 pc

การสำรวจใต้ท้องทะเลลึกในมหาสมุทรแปซิฟิก

มนุษย์ในยุคนี้ผู้เกิดมาพร้อมกับเทคโนโลยีอินเตอร์เน็ตดาวเทียมจีพีเอสและการเดินทางด้วยการคมนาคมในการที่แสนสะดวกสบายคงจะมีความรู้สึกว่าโลกของเรานั้นได้ถูกสำรวจจนหมดสิ้นและไม่มีความลับใดที่จะหลงเหลือให้ค้นหาอีกแล้ว

แต่ถ้าหากคิดให้ดีแล้วเราก็จะพบว่าพื้นผิวโลกของเรานั้นมันได้ถูกปกคลุมไปด้วยน้ำที่มากถึง3ใน4ส่วนและภายใต้พื้นทะเลนั้นมันก็ยังเต็มไปพร้อมกับสิ่งลึกลับที่มันยังรอให้เราลงน้ำไปทำการสำรวจอีกมากมายและถ้าหากว่าคุณคิดว่ามนุษย์อย่างเรารู้จักโลกใบนี้ดีแล้วล่ะก็คุณคดผิดการที่เรานั้นได้เห็นแผนที่โลก

โดยทั้งหมดมันไม่ได้หมายความว่ามนุษย์เราจะสามารถเดินทางไปได้ทุกที่ทุกแห่งของโลกใบนี้แล้วโดยเฉพาะพื้นที่ในใต้ทะเลลึกที่มนุษย์อย่างเรานี้ก็แทบจะไม่มีวันรู้เลยว่ามันจะมีสัตร์อะไรที่มันได้อาศัยอยู่บ้างวันนี้เราจะพาคุณไปพบกับความจริงต่างๆที่มันจะทำให้คุณนั้นได้รู้ว่าทำไมเราถึงเดินทางไปดาวอังคารง่ายกว่าที่จะเดินทางไปยังใต้มหาสมุทรเสียอีก

บริเวณที่มีความลึกที่สุดได้ถูกเรียกว่าชาเลนเจอร์ดีปที่ได้มีความลึกระดับเกือบ11กิโลเมตรจากผิวน้ำ ซึ่งในบริเวณดังกล่าวนี้ที่ได้อยู่ไกลกับหมู่เกาะมาเรียน่าที่อยู่นมหาสมุทรแปซิฟิกในระยะทางเกือบ11กิโลเมตรซึ่งมันอาจจะฟังดูแล้วมันไม่ไกลมากนักหากว่ามันได้เป็นเส้นทางตรงที่ได้ตรงมาจากเซ็นทรัลลาดพร้าวตรงมาทางจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แต่ถึงอย่างไรก็ตามภายใต้ของมหาสมุทรแล้ว

ในระดับน้ำที่ความลึกประมาณ11กิโลเมตรนั้นมันไม่สามารถเทียบเท่ากับเส้นทางได้เลยที่มนุษย์ที่มีตัวเล็กอย่างเราที่จะถูกสร้างขึ้นมาเพื่อที่จะได้อาศัยอยู่ใต้น้ำได้ ในปี1960 ได้มีการสร้างเรือดำน้ำที่เอาไว้ใช้สำหรับในการดำน้ำจากนั้นมันก็ได้พาวิศวกรรวมไปถึงนักสมุทรศาสตร์อีกสองคนมันได้ดำน้ำลงไปในชาเลนเจอร์ดีปเป็นครั้งแรกและก็ได้มีอีกหนึ่งคนที่ได้ลงไปสำรวจที่ชาเลนเจอร์ดีปในปี2012นั่น

ก็คือเจมส์ คาเมรอนผู้กำกับชื่อดังที่ได้เคยสร้างผลงานระดับโลกอย่างภาพยนตร์เรื่องอวตารจากนั้นเขาก็ได้ลงไปในมหาสมุทรคนเดียวพบกับเรือดำน้ำที่มีขนาด7.3เมตรโดยได้ใช้เวลาดำน้ำลงไปกว่า2ซ.มกว่าจะลงไปถึงก้นมหาสมุทรที่มีความลึกกว่า53,787ฟุตจากนั้นเจ้าตัวก็ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ถึงสาเหตุถึงความต้องการลงไปเห็นพื้นที่นั้นด้วยตาของตัวเองว่าตัวเขาเองต้องการจะหาแรงบันดานใจในการสร้างภาพยนตร์เรื่องอวตารภาคต่อไปนั่นเอง

 

ขอบคุณผู้ให้การสนับสนุนโดย  ทางเข้าrb88

เบนจามินไม่ได้ทำการทดลองแต่กระแสไฟอย่างเดียว

มนุษย์นั้นไม่ได้มีวิวัฒนาการมาจากลิงโดยตรง

ทุกๆคนนั้นก็อาจจะเคยได้ยินพ่อแม่ได้เล่าว่าพวกเรานั้นได้มาจากไหน โดยเหล่านักวิทยาศาสตร์ในช่วงยุคแรกๆนั้นพวกเขาก็ยังปวดหัวกับเรื่องแบบนี้อยู่เหมือนกันและเมื่อได้เรียนชีวะวิทยาก็อาจจะคุ้นน่าคุ้นตากับรูปภาพวิวัฒนาการของมนุษย์ซึ่งรูปภาพที่ได้เรียนและได้จดจำนั้นมันได้เป็นเรื่องที่ได้มีการเข้าใจผิดกันมาโดยตลอดว่ามนุษย์นั้นได้มีวิวัฒนาการมาจากลิงพอระยะเวลาได้ผ่านพ้นไปหางก็หดหลังตรงและเดินสองขาจนในกระทั่งได้กลายมาเป็นคนอย่างในปัจจุบัน

แต่เนื่องด้วยการศึกษาและด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆจึงได้ทำให้นักประวัติศาสตร์ในรุ่นหลังๆก็ได้พบว่าจริงๆแล้วมนุษย์คนเราไม่มีวิวัฒนาการขึ้นมาจากพวกมันโดยตรงแต่แค่ได้มีบรรพบุรุษรวมกันเท่านั้นจากสเปเชียลที่แต่ละเชื้อชาติก็ได้มีความแตกต่างกันรวมไปถึงวิถีของคนในแต่ละยุคนั้นที่มันได้มีการปรับตัวไปตามยุคสมัยจากนั้นมันก็เลยทำให้มนุษย์คนเรานั้นได้มีความแตกต่างไปจากลิงมากขึ้นเรื่อยๆและได้กลายมาเป็นมนุษย์เต็มตัวอย่างทุกวันนี้ ดังนั้นเราควรจะทำความเข้าใจใหม่ว่ามนุษย์อย่างพวกเรานั้นไม่เคยเป็นลิงมาก่อน

เบนจามิน แฟรงคลิน ไม่ได้ค้นพบกระแสงไฟฟ้าจากว่าวอย่างเดียว

การที่จะเรียนวิชาวิทยาศาสตร์

ในห้องเรียนเราก็มักจะจดจำกันมาตลอดเลยว่าเบนจามินนั้นได้ค้นพบกระแสงไฟฟ้าจากการเล่นว่าวเฉยๆ ซึ่งหากเอาจริงๆมันก็ไม่ใช่ข้อมูลที่มันถูกต้องไปทั้งหมดเลยทีเดี่ยว ซึ่งเขานั้นได้เป็นคนแรกที่ได้ศึกษาอานุภาพที่มีประจุโดยจะเชื่อกันว่าฟ้าที่ผ่าลงมากับไฟฟ้านั้นมันได้เป็นสิ่งเดี่ยวกันและมันก็อาจจะทำให้ได้ประโยชน์อย่างมากมาย ซึ่งแน่นอนแล้วว่าเราจะเชื่ออย่างเดียวนั้นมันก็อาจจะไม่พอจากนั้น

เขาก้ได้ทำการทดลองเพื่อในการพิสูจน์อีกด้วย ซึ่งเขาก็ได้ผลิตทำว่าวขึ้นมาและได้ผูกกุจแจเอาไว้ในขวดที่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อบรรจุกระแสไฟฟ้า ถ้าหากได้ดูไปดูมามันก็ดูเหมือนกับสายล่อฟ้าที่เรานั้นได้ใช้กันมาในทุกๆวันนี้เมื่อได้มีฟ้าผ่าลงมาก็มีกระแสไฟฟ้าวิ่งลงมาผ่านกุจแจและมันก็ได้ไหลลงมาที่ตัวอย่างงั้น

แต่ถึงอย่างไรเขานั้นก็ยังสามารถที่หลบได้ทันก็เลยทำให้ตัวของเขานั้นได้ลอดจากฟ้าผ่าได้อย่างปลอดภัยแต่สำหรับในการทดลองที่ว่านั้นน้องๆหนูๆไม่ควรทำเองโดยภาระการเพราะหากที่กระแสไฟฟ้านั้นได้วิ่งผ่านลงมาในเชือกที่มันได้ลอยตัวอยู่มันอาจจะทำให้เรานั้นเจ็บตัวก็ได้ปล่อยการทดลองเหล่านี้ให้เขาเป็นต้นแบบและเราคอยทำการศึกษาทฤษฎีที่ได้ถูกบันทึกเอาไว้ก็พอแล้ว

 

สนับสนุนเรื่องราวโดย  ทางเข้า bk8