มนุษย์กลายพันธุ์ในอนาคต

คาดว่าเรื่องมนุษย์กลายพันธุ์ที่หลายๆคนเคยเห็นในภาพยนตร์หรืออ่านนิยาย จะทำให้หลายคนปักใจเชื่อไปแล้วว่าบนโลกเรานั้นมีมนุษย์กลายพันธุ์หลบซ้อนอาศัยอยู่ แล้วแบบไหนล่ะที่เรียกว่ามนุษย์กลายพันธุ์ ตามจินตนาการของแต่ละคน รวมกับภาพจากละคร ภาพยนตร์

หรือภาพที่เกิดขึ้นจากคำบอกเล่าและนิยาย มักจะมีรูปลักษณะแปลกประหลายต่างออกไปจากมนุษย์ ที่ยังคงมีอวัยวะบางอย่างที่คล้ายกับมนุษย์ ทั้งที่เรียกว่า นางเงือก ที่ในตำนานเล่าว่าเป็นสัตว์ที่มีท่อนบนเป็นมนุษย์ และท่อนร่างเป็นหางปลา แต่แล้วเรื่องจริงเป็นอย่างไร

แล้วจะมีสิ่งมีชีวิตอยู่จริงหรือก็ไม่มีใครทราบได้ และจากความเชื่อต่างๆนานานี้ จึงมีคนออกมาถกเถียงกันเรื่องที่ว่า ในอนาคตมนุษย์เราจะกลายพันธุ์ โครงสร้างภายในร่างกายจะคล้ายแบบเดิม แต่ที่ต่างออกไปนั้นอาจจะรูปร่าง ลักษณะนอก ที่มีเซลล์และยีนต์เปลี่ยนไป นักวิทยาศาสตร์และนักพันธุศาสตร์ ที่ศึกษาเรื่องโครงสร้างของมนุษย์โดยเฉพาะก็บอกว่า มันก็อาจจะมีสิทธิ์เป็นไปได้เช่นกัน

แต่ก็ไม่ถึงกับการข้ามสายพันธุ์เลยทีเดียว อย่างสุนัขกับมนุษย์ หรือ เสือกับมนุษย์ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วมนุษย์เราในปัจจุบันนี้ก็ถือว่าเป็นมนุษย์กลายพันธุ์นะ เพราะอะไร? นั้นเป็นเพราะว่าจากการพิสูจน์ต้นกำเนิดการเกิดของมนุษย์บนโลกใบนี้ ได้มีการค้นพบว่า มนุษย์ยุคดึกดำบรรพ์นั้นมีลักษณะทางกายภาพที่แตกต่างจากมนุษย์ยุคปัจจุบัน เดิมทีมนุษย์นั้นมีตาที่เป็นสีดำหรือน้ำตาลเท่านั้น

การที่มนุษย์ยุคปัจจุบันในบางพื้นที่ของโลกมีตาสีอื่นๆที่ไม่ใช่สีดำหรือน้ำตาล นั้นถือว่าเป็นสิ่งที่กลายพันธุ์ของมนุษย์ เช่นเดียวกันกับสีผมมนุษย์ยุคก่อนๆจะมีผมสีดำเข้ม ไม่ก็สีน้ำตาลเข้ม การปรากฏว่ามนุษย์นั้นเริ่มมีผมสีขาวหรือผมสีทองโดยแต่กำเนิดนั้น ก็ถือว่าเป็นมนุษย์กลายพันธุ์เช่นเดียว สิ่งเหล่านี้ทำให้เห็นว่าในอนาคตเรื่องมนุษย์กลายพันธุ์นั้นก็อาจจะเป็นไปได้ ซึ่งนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายๆอย่าง

ทั้งสภาพแวดล้อม และ อาหารที่รับประทานเข้าไป และอีกหนึ่งอย่างถือว่าสำคัญที่อาจจะเป็นตัวช่วยทำให้มนุษย์กลายพันธุ์นั้นคือ ยา อย่างที่ทราบกันว่ายาแต่ละชนิดมีสรรพคุณที่แตกต่างกัน แน่นอนว่ามันต้องเอาไว้รักษาให้โครงสร้างภายในกลับมาใช้งานในปกติ

แต่นั้นก็เท่านั้นว่าโครง เซลล์ ระบบต่างๆภายในร่ากงกายได้รับสารชนิดนั้น ซึ่งมันปลอดภัยต่อสุขภาพ แต่ทางกายภาพแล้วเราไม่สามารถรู้ได้เลยว่ามันจะมีปฏิกิริยาและถูกถ่ายทอดไปยังรุ่นต่อไปอย่างไร ซึ่งเป็นสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์หรือนักพันธุกรรมเองก็ยังไม่สามารถให้ตอบได้เช่นกัน ซึ่งในอนาคตอาจจะมีนวัตกรรมที่พร้อมจะรับมือกับเรื่องก็เป็นได้

 

สนับสนุนโดย  entaplay pantip

หินโมไอเป็นหินมีชีวิตและขยับได้จริงหรือไม่?

เขาบอกว่าหินโมไอกว่า1พันชิ้นที่หมู่เกาะอีสเตอร์ได้มีความสูงอยู่ที่ประมาณ4-21เมตรและยังได้มีน้ำหนักมากถึง165ตัน ซึ่งถือว่ามันหนักมากๆแล้วคนสมัยก่อนเขาสามารถเคลื่อนย้ายหินโมไอเหล่านี้ได้อย่างไงและเขาสามารถแกะสลักยังไงให้ได้ปราณีตขนาดนี้

ซึ่งตรงนี้มันเลยทำให้ใครหลายๆคนได้เชื่อว่ามันจะเป็นไปได้ไหมที่โมไอไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาโดยมนุษย์และมันอาจจะไม่ได้ถูกเคื่อนย้ายจากฝีมือของมนุษย์ก็เป็นได้และตรงนี้หลายๆคนเขายังได้สงสัยกันว่าจุดประสงค์ที่ได้สร้างโมไอขึ้นมานี้มันเป็นเพียงแค่การสร้างขึ้นมา

เพื่อรำลึกถึงผู้ที่ได้ร่วงลับไปแล้วเพียงแค่นั่นเองหรอแต่หลายๆคนเขาก็ไม่ได้เชื่อกันอย่างนั่นและหลายๆคนก็มีหลากหลายทฤษฎีเยอะแยะมากมายบางก็ว่าได้เป็นสิ่งที่มนุษย์ได้สร้างขึ้นมาและเป็นอนุสรณ์สถานของผู้ที่ได้ร่วงลับไปแล้วบางก็ว่ามันอาจจะเป็นสิ่งที่มนุษย์ต่างดาวได้สร้างขึ้น

มาและใช้ยานในการขนย้ายหินเหล่นี้หรือที่แปลกมากที่สุดเลยก็คือคนเฒ่าคนแก่ที่ได้อยู่บนเกาะอีสเตอร์เขายังได้บอกเอาไว้อีกว่า โมไอเป็นสิ่งมีชีวิตไม่ใช่หินหรือมันไม่ใช่สิ่งที่ถูกแกะสลักขึ้นมาแต่อย่างใดบางทีถ้าโชคดีอาจจะได้เห็นโมไอขยับด้วยตัวของมันเอง

ก็มีเช่นกัน ซึ่งข้อมูลตรงนี้ต้องขอบอกก่อนว่ามันไม่ใช้ข้อมูลที่มโนขึ้นมาแต่มันคือข้อมูลที่นักสำรวจท่านหนึ่งได้เข้าไปสัมภาษณ์ได้เข้าไปพูดคุยกับคนเฒ่าคนแก่ที่ได้อาศัยอยู่บนเกาะอีสเตอร์และเขาก็ได้รับรู้ข้อมูลตรงนี้มานั่นเอง ซึ่งข้อมูลในการอีสเตอร์ของคนเฒ่าคนแก่ที่อาศัยอยู่บนเกาะอีสเตอร์

ตรงนี้เขายังได้บอกเอาไว้อีกว่า หินโมไอเป็นหินมีชีวิตไม่ใช่หินโดยทั่วไปมันนึกจะเดินมันก็จะเดินของมันเองมันนึกจะไปไหนมันก็จะไปของมันเองโดยที่ไม่มีใครเข้าไปอยู่ตรงบริเวณนั่นหรือมีสัตว์ต่างๆเข้าไปพลักโมไอเลยและถ้าวันไหนคุณโชคดีคุณได้เห็นโมไอขยับนั่นก็แสดงว่าจะมีโชคดีเข้ามาหาคุณ

ซึ่งบทสัมภาษณ์ตรงนี้ก็มันก็ยิ่งทำให้เราสงสัยเข้าไปอีกว่าหินขนาดเกือบ200ตันมันจะขยับได้ด้วยตัวขอมันเองได้อย่างไงถ้าไม่ใช่มีคนกว่า100คนที่ช่วยกันดึงช่วยกันพลักให้หินที่มีน้ำหนักกว่า200ตันขยับหรือใช้แรงสัตว์ในการช่วยดึงมันจะมีการขยับได้อย่างไง

 

สนับสนุนโดย  entaplay link

รูปปั้นของSphinxที่เป็นวัตถุหายากมากที่สุด

วัตถุโบราณที่หายยากมากที่สุดที่ได้ขุดค้นพบในใต้ดินนักโบราณคดีและนักขุดค้นสมบัติต่างก็ได้ขุดค้นพบวัตถุสิ่งของที่หาได้ยากได้อย่างสุดเหลือเชื่อ ซึ่งวัตถุสิ่งของแต่ละชิ้นนั้นได้เปิดเผยข้อมูลเรื่องราวที่ประเมินมูลค่าไม่ได้ในอดีตซึ่งในบางชิ้นก็จะมีอายุไม่ต่ำกว่า10ล้านปีหรือในบางชิ้นนั้นก็ยังคงได้เป็นปริศนาอยู่ว่าแท้จริงแล้วมันคืออะไรกันแน่วันนี้เราจะพาทุกคนมาทำความรู้จักกับวัตถุสิ่งของที่หายากมากที่สุดที่มันได้ถูกค้นพบในใต้ดิน

รูปปั้นSphinxของอียิปต์

เราเชื่อว่าใครต่อใครหลายๆคนก็คงจะเคยเห็นและคงจะรู้จักมหาSphinxแห่งกรีกซ่ากันมาบ้างแล้ว ซึ่งรูปปั้นหินปูนที่มันได้มีขนาดใหญ่ยักษ์นี้มันก็ได้แสดงให้เห็นถึงสิ่งที่มีชีวิตในตำนานของอียิปต์ ซึ่งมันได้เป็นการผสมผสานกันในระหว่างความแข็งแกร่งของสิงโตและพลังอำนาจของกษัตริย์ได้นำเอามารวมเข้าเอาไว้ด้วยกัน นอกจากนี้ในเดือนกันยายนในปี2018

ก็ได้มีนักโบราณคดีชาวอียิปต์ก็ได้ค้นพบกับวัตถุที่ต้องสงสัยที่มันได้สร้างความแปลกใจให้กับผู้คนที่ได้ค้นพบ ซึ่งวัตถุของชิ้นนี้มันได้ถูกค้นพบขึ้นในขณะที่กำลังเร่งระบายน้ำที่อยู่ใต้ดินออกจากวิหารคอมออมโบที่อยู่ในประเทศอียิปต์เรื่องนักโบราณคดีก็ได้พบเข้ากับประติมากรรมรูปปั้นที่อยู่ในสภาพที่ค่อนข้างที่จะสมบูรณ์แบบ ซึ่งรูปปั้นSphinxตัวนี้มันได้ถูกสร้างขึ้นมาจากหินทรายรูปร่างลักษณะคล้ายๆกับไจแอ้นSphinxของกรีกซ่า

เพียงแต่ว่ามันทั้งคู่มันได้อยู่ห่างไกลในระยะทางของทั้งคู่เอามากๆรูปปั้นดังกล่าวมันได้มีความสูงประมาณ15นิ้วกว้าง11นิ้วถึงแม้ว่ามันจะมีขนาดที่ไม่ใหญ่แต่ในการขุดเพื่อที่จะนำเอามันออกมานั้นเราจะต้องใช้ความระมัดระวังเป็นอย่างมากเพื่อที่เราจะได้รักษาสภาพของมันเอาไว้ให้ได้ดีมากที่สุด

นอกจากนี้ผู้เชี่ยวชาญยังได้กล่าวเอาไวอีกว่ารูปปั้นชิ้นนี้นั้นมันได้มีอายุอยู่ในช่วงสมัยราชวงศ์Greco-Macedonian Ptolemaic Dynastyที่ได้อยู่ในช่วงปกครองอียิปต์ในสมัยช่วง305ถึง30ปีก่อนคริสตศักราชจากนั้นกระทรวงวัฒนาธรรมและโบราณสถานของอียิปต์ก็ได้สัญญาณว่าจะทำการศึกษารูปปั้นSphinxกันต่อไปเพื่อที่พวกเขานั้นจะต้องรู้ให้ได้ถึงวัตถุประสงค์ในการที่ได้สร้างรูปปั้นSphinxนี้ขึ้นมา

ซึ่งพวกเขานั้นจัดสร้างรูปปั้นเหล่านี้ขึ้นมาเพื่ออะไรกันแน่เพราะเนื่องจากว่าวิหารคอมออมโบแห่งนี้ได้้ถูกสร้างขึ้นมาในสมัยพระเจ้าPTOLEMYVIที่6ซึ่งมันจึงจะเป็นไปได้ว่าที่รูปปั้นชิ้นนี้มันจะถูกสร้างขึ้นมาเพื่อที่ว่ามันจะได้เป็นของประดับเอาไว้ให้แก่ฟาโรห์และยังรวมไปถึงการบูชาเทพพระเจ้าอียิปต์

 

สนับสนุนโดย  next88

สิ่งที่ได้เชื่อกันว่ามันน่าจะเป็นยานอวกาศจากนอกโลก

ยานอวกาศของเอซีเคียล

ตามความเชื่อดั่งเดิมจากสิ่งที่ศาสดาเอซีเคียลเห็นนั้นคือนิมิตจากพระเจ้าแต่กลับมีทฤษฎีที่ออกมาหักล้างว่าแท้ที่จริงแล้ว สิ่งนั้นมันคือยานอวกาศ ในปี1974 วิศวกรแห่งนาซา นามว่า โจเซฟ บลุมริช ก็ได้ทำสิ่งที่สนับสนุน ว่าเรื่องนี้ได้เป็นเรื่องจริงและด้วยการตีพิมพ์ของหนังสือที่มีชื่อว่า The Spaceships of  Ezekiel ซึ่งเอซีเคียลได้บรรยายเกี่ยวกับการพบเห็นในครั้งนั้นว่าได้เกิดก้อนเมฆขนาดใหญ่มหึมา ที่มีทั้งสายฟ้า

และแสงโชติช่วงและที่ใจกลางของแสงนั้นเหมือนกับเหล็กที่ส่องแสงสว่างอีกทั้งยังได้มีการปรากฎสิ่งมีชีวิต4ร่าง ซึ่งได้เป็นรูปร่างเหมือนมนุษย์ บลุมริช ก็ได้พยายามวิเคราะห์แปลความหมายจากคัมภีร์ไบเบิลและได้บวกกับประสบการณ์ทางด้านวิศวกรรมของเขาจึงได้ทำให้เขาสามารถวาดดภาพต่างดาวจากคำบรรยายของ เอซี เคียล ได้ออกมาได้อย่างละเอียดและน่าเชื่อถือ

ตำราวิมานะ

สำหรับตำนาวิมานะ ซึ่งได้เป็นตำราที่เกี่ยวกับการบินที่ได้ถูกเขียนขึ้นเป็นภาษาสันสกฤต โดยบัณฑิต ชับบารายา ชาสตรี ในช่วงต้นศตวรรษที่20 ซึ่งเนื่อหาในตำรานั้น เขาได้อ้างว่าได้รับความสามารถมาจากนักปราชญ์ชาวฮินดูที่มีชื่อว่า บารัดวาจา ผู้ที่มีอายุกว่า10,000ปีด้วยการส่งสารผ่านจิตใจ ซึ่งภายในตำราได้มีเนื้อหาอธิบายเกี่ยวกับเส้นทางการบินที่เป็นชนิดของโลหะชนิด การผลิตโลหะ กระจก

วิธีการใช้ในสงครามและระบบกลไกที่รวมไปถึงภาพร่างของเครื่องบิน ดังภาภพนี้ ซึ่งได้เป็นเครื่องบินได้ โดยใช้หางกับปีกเช่นเดียวกันกับการบินของนกและมันจึงได้มีความเป็นไปได้ว่า ที่คำว่า “วิมาน” ตามเรื่องเล่าของชาวฮินดูนั้นมันอาจจะเป็นยานพาหนะที่สามารถบินได้แต่ทางวิศวกรการบินและอวกาศ ได้ให้ความเห็นว่าสิ่งเหล่านั้นมันจึงไม่สามารถที่จะบินได้ หากไม่มีพลังงานจากบางสิ่งที่คอยควบคุมอยู่เบื้องหลัง

เอกสารต้นฉบับซีบีว

ในปี1961 ศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัยแห่งบูคาเรสต์ ในประเทศโรมาเนียก็ได้พบเอกสารโบราณฉบับหนึ่งที่รู้จักกันในชื่อ “เอกสารต้นฉบับซีบีว” ซึ่งได้เป็นเอกสารที่ได้เขียนขึ้นได้มือ เอกสารฉบับนี้มีทั้งหมด450หน้า โดยเขียนเสร็จสมบูรณ์ในปี 1570

ซึ่งมันได้ถูกซ่อนอยู่ภายในเมืองแห่งนี้ มานานหลายศตวรรษที่น่าตกใจคือเนื้อหาที่อยู่ภายในได้เขียนอธิบายเกี่ยวกับขั้นตอนการออกแบบและเทคโนโลยี ที่ใช้ สำหรับการสร้างจรวดโดยสารโดยได้ใช้เชื้อเพลิงชนิดของแข็งซึ่งมันก็ได้มีลายละเอียดที่มันค่อนข้างที่จะซับซ้อนอีกทั้งยังมีการบันทึกผลสำเร็จในการปล่อยจรวดยักษ์ในปี 1555 โดยมีประจักษ์พยานคือชาวเมืองซีบิว กว่าพันชีวิต

 

ขอขอบคุณ  entaplay มือถือ  ที่ให้การสนับสนุน

มนุษย์ต่างดาวมาเยือนโลกเพราะต้องการศึกษา

เรื่องเล่าของมนุษย์ต่างดาวนั้นถือได้ว่ามาแต่ช้านาน ตั้งแต่ยุคที่ไม่สามารถหาหลักฐานมาพิสูจน์ข้อเท็จจริงของเรื่องนี้ได้ ซึ่งในเวลาต่อมาที่เทคโนโลยีถูกพัฒนามากยิ่งขึ้น เรื่องราวของมนุษย์ต่างดาวก็ไม่ได้หายไปไหน ยังคงเป็นเรื่องที่ถูกนำมาพูดคุยอยู่เสมอ เมื่อมีการเปิดเผยภาพจากประชาชนคนทั่วไป

ที่สามารถถ่ายได้เป็นภาพถ่ายและวิดีโอที่ติดวัตถุรูปทรงแปลกประหลาด หรือที่เรียกกันว่า จานบิน ทำให้เป็นที่ฮือฮามากสำหรับคนทั่วไปและนักวิทยาศาสตร์เอง เพื่อพิสูจน์ภาพเหล่านั้นเป็นจริงหรือไม่ จึงนำไปตรวจสอบและพบว่าภาพส่วนใหญ่นั้นถูกตัดต่อขึ้นมาด้วยโปรแกรม แต่ก็ยังมีบางหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าไม่ได้ผ่านตัดต่อแต่อย่างใด ถึงอย่างนั้นก็ไม่อาจพิสูจน์ได้เช่นกันว่าที่ไม่ได้ตัดต่อเป็นเพราะจัดฉากสร้างสถานการณ์ขึ้นมาเอง

หรือไม่ แต่จะจริงหรือที่มนุษย์ต่างดาวนั้นไม่มีอยู่จริงในจักรวาลแห่งนี้ อย่างที่ใครหลายๆคนก็ต่างทราบกันดีว่า จักรวาลแห่งนี้กว้างใหญ่ไพศาล หาจุดสิ้นสุดไม่ได้ ในดวงดาวที่อยู่ไกลออกไปหลายล้านปีแสง จะไม่มีสิ่งมีชีวิตอยู่แน่เหรอ และในกรณีที่มีผู้เชื่อว่ามนุษย์ต่างดาวมีจริง

จักรวาลแห่งนี้ยังมีสิ่งมีชีวิตอื่นอาศัยอยู่ที่ดาวโลกดวงอื่นๆ ไม่ได้มีแค่ดาวโลกของเราเท่านั้นที่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ ซึ่งได้มีการข้อสันนิฐานขึ้นมาว่าเหตุใดมนุษย์ต่างดาวถึงเดินทางมายังโลก นั้นก็คือ มนุษย์ต่างดาวต้องการจะมาศึกษาและเรียนรู้เกี่ยวกับโลกและสิ่งมีชีวิตบนโลก ได้ยินกันมาหนาหูว่า แท้จริงแล้วมนุษย์เราไม่ได้เป็นผู้ค้นพบมนุษย์ต่างดาว แต่มนุษย์ต่างหากที่เป็นผู้ค้นพบมนุษย์โลกอย่างเรา

และจุดประสงค์ที่มนุษย์ต่างดาวมานั้นก็คือศึกษาโลกกับสิ่งมีชีวิตบนโลก นั้นอาจจะเป็นเพราะว่า ดาวโลกของเรานั้นมีความแตกต่างกับดาวโลกของมนุษย์ต่างดาว ทำให้มนุษย์ต่างดาวมีความสนใจโลกมาก และยังสนใจในเรื่องการเจริญเติบโตของสิ่งมีชีวิตบนโลกอย่างมนุษย์อีกด้วย ซึ่งเราไม่อาจทราบได้มนุษย์ต่างดาวนั้นมีการเจริญเติบโตอย่างไร แต่ถ้าหากว่ามนุษย์ต่างดาวสนใจในการเจริญเติบของมนุษย์

นั้นอาจจะแปลว่าการเจริญเติบของสิ่งมีชีวิตบนดาวของโลกเรานั้นไม่เหมือนกับของมนุษย์ต่างดาว ซึ่งข้อมูลเหล่านี้เป็นเพียงแค่การสันนิฐานเท่านั้น เพราะหลายปีที่ผ่านมาต่อให้มีข่าวเรื่องของมนุษย์ต่างดาวมาเยือนโลก ไม่ได้เกิดปัญหาหรืออันตรายร้ายแรงเกิดขึ้น อาจจะเป็นไปได้ว่ามนุษย์ต่างดาวไม่ได้มาร้าย เพียงแต่มาทำการศึกษาและเรียนรู้ก็เท่านั้น อย่างไรแล้วเรื่องของมนุษย์ต่างดาวยังถือว่าเป็นเรื่องที่พิสูจน์ไม่ได้ และในอนาคตเองถ้าหากว่าเทคโนโลยีมีความก้าวหน้ามากกว่านนี้ มนุษย์เราอาจจะสามารถเดินทางท่องอวกาศไปได้ไกลเพื่อหาสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในจักรวาลนี้ได้

 

สนับสนุนโดย  ทางเข้า entaplay

โลกจะเหลือแค่ 2 ทวีป 2 ฤดู เมื่อโลกหยุดหมุน

เป็นที่ทราบกันที่อยู่แล้วว่าโลกของเรานั้นอยู่ในระบบสุริยะจักรวาล ซึ่งโลกของเราและดาวดวงอื่นๆที่อยู่ระบบสุริยะนี้จะเดินทางเป็นวงกลมโดยการโคจรรอบดวงอาทิตย์ การที่ดาวทุกๆดวงรวมไปถึงโลกด้วยนั้นโคจรอยู่รอบดวงอาทิตย์นั้นเป็นเพราะว่าดวงอาทิตย์มีแรงดึงดูด ทำให้ดวงดาวแต่ละดวงอยู่ในตำแหน่งเฉพาะของมัน และนอกจากนั้นแล้วที่โลกเราจะหมุนโคจรรอบดวงอาทิตย์

โลกของเรายังหมุนรอบตัวเองอีกด้วย ซึ่งทุกๆคนนั้นอาจจะทราบกันอยู่แล้ว แล้วเคยคิดสงสัยหรือตั้งคำถามเกี่ยวกับการหมุนรอบตัวเองของโลกหรือไม่ว่า ถ้าวันหนึ่งโลกของเรานั้นหยุดหมุนรอบตัวเองจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ซึ่งในบทความนี้จะอธิบายในเรื่องการเปลี่ยนแปลงของจากการที่โลกหยุดหมุน

โดยที่พื้นแผ่นจะถูกแบ่งออกเป็น 2 ทวีป แต่ก่อนที่จะถึงเรื่องนั้นเดี๋ยวจะมาบอกผลกระทบอื่นที่จะตามมาด้วย ซึ่งข้อสันนิฐานต่างๆของการที่โลกหยุดหมุนนั้นเป็นเพียงแค่การสันนิฐานจากองค์กร NASA เท่านั้น ผลกระทบของการที่โลกหยุดหมุนหลักๆแล้วจะเกี่ยวเนื่องกับเรื่องเวลามากกว่าสิ่งอื่นใด ตามมาด้วยเรื่องของสนามแม่เหล็ก และปรากฏการณ์ต่างๆ ในเรื่องของเวลาจะส่งผลให้เวลาเดินช้าลงมีระยะเวลาที่นานมากขึ้น จากปกติ 1 วัน

จะเท่ากับ 24 ชั่วโมง แต่เมื่อโลกหยุดหมุนรอบตัวเองเวลา 1 วัน จะเท่ากับ 365 วัน ในส่วนของเรื่องปรากฏการณ์คือการที่ทุกสรรพสิ่งบนโลกจะสามารถลอยขึ้นสู่อากาศได้ รวมทั้งมนุษย์ แต่ก็จะเกิดแรงเหวี่ยงอย่างรวดเร็ว เกิดพายุที่รุนแรงมาก รวมไปถึงการที่ระดับน้ำในทะเลและมหาสมุทรเพิ่มสูงขึ้นเพราะพลังงานของโลกหยุดทำงาน ก่อให้เกิดคลื่นสึนามิอย่างรุนแรง และในตอนแรกที่บอกว่าโลกจะถูกแบ่งเป็น 2 ทวีปนั้น

ก็มีความเป็นไปได้ เพราะการที่โลกหยุดหมุนรอบตัวเองจะทำให้น้ำที่อยู่ตรงเส้นศูนย์สูตรเกิดแรงเหวี่ยงอย่างรุนแรง ทำให้น้ำแทรกแซงพื้นแผ่นดินให้แยกออกเป็น 2 ส่วนไปทางขั้วโลกเหนือและขั้วโลก และกลายเป็นชื่อทวีปใหม่ที่มีชื่อว่า ทวีปเหนือ ทวีปใต้ นอกจากนี้ยังจะทำให้โลกนั้นเหลือเพียงแค่ 2 ฤดูเท่านั้น คือ ฤดูร้อน และ ฤดูหนาว ระยะของ 2 ฤดูนี้จะมีเวลา 6 เดือนเต็ม

ถึงอย่างไรแล้วอย่างที่ได้กล่าวก่อนหน้านี้แล้วว่านี้เป็นเพียงแค่การสันนิฐานจากคำถามถ้าโลกหยุดหมุนรอบตัวเพียงเท่านั้น ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นจริงในอีกหลายพันล้านปีข้างหน้า เราที่อยู่ยุคปัจจุบันอาจจะไม่ได้เผชิญกับปัญหานั้น และถ้าว่าถึงตอนนั้นจริงๆมนุษย์เราเองก็อาจจะมีวิทยาการทางด้านเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ที่ก้าวหน้ามากขึ้น เพื่อเตรียมพร้อมในการเผชิญกับปัญหาเหล่านี้ได้อย่างแน่นอน

 

สนับสนุนโดย  entaplay thailand

ความเชื่อในเรื่องของความฝัน

จริงๆแล้วความฝันนั้นมันสามารถเป็นแรงกระตุ้นทำให้หลายๆคนได้คิดสร้างผลงานหรือว่าสร้างชิ้นงานของตนเองขึ้นมาได้นั้นเอง โดยความเชื่อในเรื่องของความฝันเหล่านี้ได้มีมานานมากกว่า1พันปีตั้งแต่สมัยยุคกรีกและสมัยโรมันนู้นเลยโดยในความเชื่อในแต่ละสมัยมันก็จะแบ่งกันออกไปได้หลายความเชื่ออย่างในยุคกรีก

และยุคโรมันเขาก็ได้มีความเชื่อว่าความฝันมันคือศาลที่ได้มาจากพระเจ้าหรือบางครั้งคนที่ฝันในยุคกรีกสามารถแปลความหมายที่เราฝันได้และได้เข้าใจในความฝันนั้นและมันอาจจะเป็นในเรื่องผลดีและช่วยในเรื่องของการรบในสมรภูมินั้นๆเลยก็ว่าได้อันนี้มันก็คือความเชื่อของคนในยุคสมัยนั้นถัดมาในยุคของอียิปต์เขา

ก็มีความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องของความฝันเหมือนกันเขาได้เชื่อกันว่าผู้ใดที่เข้าในในความฝันคือเป็นบุคคลพิเศษที่ได้มีอะไรบางอย่างอยู่ในตัวและถัดมาในยุคของจีนเขาก็ได้มีความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องของความฝันอยู่เหมือนกันเขาได้บอกเอาไว้ว่าความฝันมันก็คือหนทางการไปเยือนสมาชิกในครอบครัวของผู้ที่ได้ล่วงรับไปแล้วก็คือผู้ที่เสียชีวิตไปแล้วนั่นเองและความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องของความฝันก็ยังได้มีไปถึงยังฝั่าอเมริกาบางชนเผ่าแล้ว

ก็ชาวเม็กซิกันที่เจริญไปแล้วและเขาได้เชื่อกันว่าความฝันนั้นมันคือโลกอีกโลกหนึ่งที่เราสามารถได้ไปเจอในขณะที่เรานั้นกำลังนอนหลับและความเชื่อสุดท้ายก็คือความเชื่อทางฝั่งยุโรปเกี่ยวกับเรื่องของความฝันเขาเชื่อกันว่าความฝันคือสิ่งชั่วร้ายและมันอาจจะทำให้คนๆหนึ่งได้หันไปทำสิ่งชั่วที่ร้ายได้เลย

ซึ่งตรงนี้มันก็เป็นความเชื่อแต่ละกาลระยะเวลาที่ได้มีการผ่านมานั้นเองโดยทางวิทยาศาสตร์เขายังได้กล่าวเอาไว้ว่าในช่วงต้นศตวรรษที่ 20หรือประมาณ1900ต้นๆก็ได้มีสองนักวิทยาศาสตร์ก็ได้พัฒนาแนวคิดใหม่เกี่ยวกับเรื่องของความฝันเมื่อในปี1990นายSingmung Freudนักจิตวิทยาชาวออสเตรียก็ได้ตีพิมพ์หนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมาที่ได้มีชื่อว่าThe Interpretation of Dreams

หรือเป็นการตีความหมายที่เกี่ยวกับความฝันโดยเขาได้เชื่อกันว่าคนเราก็มักจะฝันถึงในสิ่งที่ตัวเองจะต้องการแต่เราไม่สามารถที่จะครอบครัวได้และนั่นก็ยังรวมไปถึงเพศสัมพันธ์และความรุนแรงในก้นบื้งใต้จิตใจของมนุษย์ สำหรับSingmung Freudแล้วในความฝันก็ยังเต็มไปด้วยความหมายที่ยังมีความสุขซ่อนเอาไว้อยู่และเขาก็ยังได้เชื่อว่าความฝันนั้น

มันอาจจะเป็นหนทางที่สำคับในการที่จะช่วยให้เข้าใจในสิ่งต่างๆที่ได้เกิดขึ้นมาในสมองของเราในตอนที่เรากำลังหลับอยู่และเป็นหนทางในการช่วยแก้ไขปัญหาและช่วยให้เข้าในความววิตกกังวลต่างๆในจิตใจของคนเราได้

 

สนับสนุนโดย  สูตร บาคาร่า next88

ครอบครัวเอ็ดวอลเทอร์ได้พบเห็นยานต่างดาวที่เข้ามายังโลก

รูปภาพ

เอ็ดวอลเทอร์ และครอบครัว ได้มีการอ้างกันว่าได้มีการพบเห็นยานต่างดาวและยังรวมไปถึงมนุษย์ต่างดาวกว่า20ครั้งตลอดในช่วงปี1988 โดยได้มีหลักฐานที่ได้เป็นรูปถ่ายภาพจำนวนหนึ่ง ซึ่งพวกเขาได้เชื่อว่าได้เป็นประกฎการณ์ที่แปลกประหลาดที่มันได้มาเกิดขึ้นใกล้ๆบ้านของพวกเขาในเมืองกัลฟ์บรีซ รัฐฟลอริดา หลังจากนั้นเอ็ดวอลเทอร์

เขาก็ยังได้อ้างอีกว่าหากได้มีวัตถุจากต่างดาวได้เข้ามาอยู่ใกล้ๆเขาสามารถที่จะรับรู้ได้ถึงพลังจิตได้ถึงสัญญาณโทรจิตจากมนุษย์ต่างดาว โดยมันจะเป็นรูปภาพที่ได้ปรากฎขึ้นในหัวของเขาไม่วว่าจะเป็นรูปภาพของสุนัขหรือผู้หญิงไปจนถึงเสียงพูดที่มีความแปลกประหลาดและรูปภาพนี้ได้ว่ากันว่าได้เป็นรูปภภาพของยานอวกาศที่ได้ถูกถ่ายเอาไว้ได้ก่อนที่พวกมันจะปล่อยลำแสงปริศนาสีฟ้านี้ออกมาและได้ทำให้ชายผู้นี้ได้ลอยอยู่ในอากาศต่อมาภาพเหล่านั้น

ได้ถูกนำไปตรวจสอบแต่มันก็ยังไม่สามารถที่จะตัดสินได้เลยว่าเป็นภาพจริงหรือไม่และถ้าหากว่ามันได้เป็นรูปภาพที่ได้ถูกจัดฉากขึ้นมาก็เป็นสิ่งที่มันน่าแปลกใจที่ วอลเทอร์ กลับสามารถผ่านการทดสอบด้วยเครื่องจับเท็จได้ถึงสองครั้ง

แพนเค้ก

ในช่วงเช้าของวันที่18เมษายน ปี1961  ในขณะที่ โจ ไซมอนตัน ที่กำลังให้อาหารไก่อยู่ในฟาร์มเขาก็ได้พบกับสิ่งที่ต้องทำให้ต้องตกตะลึง เมื่อเขาได้พบเห็นวัตถุปริศนาที่คล้ายๆกับจานลอยอยู่บนฟ้า ซึ่งได้มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ9เมตรได้ลอยลงมาและจอดลงบนฟาร์มของเขาที่ได้ตั้งอยู่แม่น้ำอีเกิด

ในรัฐคอนซินเมื่อยานได้ลงจอดอย่างสนิดเขาก็เดินเข้าไปใกล้ๆเพื่อทำการสำรวจจึงได้พบกับสิ่งที่มีชีวิตที่ดูคล้ายกับมนุษย์ที่มีลักษณะเหมือนชาวอิตาเลียน3คนอยู่ภายในยานเมื่อสิ่งมีชีวิตนั้นได้สังเกตเห็นไซมอนตันมันก็ได้ยื่นบางสิ่งที่มีลักษณะเหมือนเหยือกมาให้และได้ทำท่าทางว่ามันต้องการให้เขานำเอาน้ำไปใส่เหยือก เมื่อ ไซมอนตัน กลับมาหลังจากเติมน้ำเสร็จสิ่งที่มีชีวิตปริศนานั้นมันได้ตั้งเตา

และได้ทำแพนเค้กจากนั้นพวกมันก็ได้ยื่นให้ ไซมอนตันจำนวนสามชิ้นเพื่อเป็นการแลกกับน้ำที่เขาได้นำเอามาให้ ไซมอนตันยังได้เล่าอีกว่า เขาได้กินแพนเค้กนั้นไปเพียงแค่ชิ้นเดียว ซึ่งรสชาติมันเหมือนกับกระดาษแข็งไม่มีผิดและส่วนชิ้นที่เหลือเขาได้เก็บเอาไว้เป็นหลักฐาน

ของการที่เขาได้เผชิญหน้ากับมนุษย์ต่างดาวในครั้งนี้เมื่อผู้มาเยือนปริศนากลับไปหลังจากจอดยานเพียงแค่ไม่กี่นาที ไซมอนตันก็ได้นำเอาแพนเค้กชิ้นที่เหลือได้ส่งไปยังห้องทดลองของรัฐบาลเพื่อให้ทำการวิเคราะห์แต่กลับไม่พบสิ่งปกติหรือวัตถุดิบที่นาจะมาจากนอกโลก 

 

สนับสนุนโดย  entaplay

บรรพบุรุษของมมนุษย์โลกเรามันอาจจะเป็นมนุษย์ต่างดาวที่มาดวงดาวอื่นก็เป็นได้?

สำหรับเรื่องของสิ่งที่มีชีวิตคนแรกของโลกหรือเรื่องของมนุษย์เกิดขึ้นมาได้ยังไงแล้วจริงๆแล้วมนุษย์คนเราเป็นมนุษย์ต่างดาวแต่มาอาศัยอยู่บนโลกมนุษย์คือเราจะต้องย้อนความกลับไปเมื่อประมาณ4,600ล้านปีก่อนเลยในช่วงที่โลกของเรานั้นได้เกิดมาในช่วงแรกๆ จะต้องบอกก่อนแบบนี้ว่าดลกของเราในช่วงแรกมันจะเป็นเพียงแค่ก้อนอุกกาบาตที่มันได้หลุมออกมาจากระเบิดของดวงอาทิตย์

และ ดวงอาทิตย์ที่เราได้เห็นกันอยู่ในตอนนี้มันก็ยังเกิดการระเบิดอยู่ตอดเวลาและเศษอุกกาบาตมันก็ได้หลุดออกมาจากดวงอาทิตย์เรื่อยๆ แต่มันได้มีอยู่วนหนึ่งเศษอุกกาบาตที่มันดูเหมือนเป็นโลกของเรากับเศษอุกกาบาตที่มันได้หลุดออกมาจากดวงอาทิตย์ในภายหลังที่เขาว่ากันว่ามันได้มีขนาดที่ใกล้เคียงกับโลกเรา

ได้เกิดจากการเหวี่ยงวงโคจรของดวงอาทิตย์จนมันได้ชนกันอย่างรุนแรงและมันได้เกิดการระเบิดครั้งใหญ่ก่อนที่มันจะรวมตัวกันเป็นโลกและมันได้มีเศษดวงดาวที่มันได้วนอยู่รอบๆตัวหลักจากนั้นเศษอุกกาบาตเหล่านั้นก็ได้รวมตัวกันจนมันได้กลายมาเป็นดวงจันทร์นั่นเอง ซึ่งนี่มันก็เป็นเบื่องต้นของการกำเนิดโลกและในเวลานั้นโลกของเรามันได้เป็นเพียงดาวที่มีอุณหภูมิที่ร้อนมากๆ

มีแต่ก๊าสพิษมีแต่ก๊าสมีแทนรวมไปถึงพื้นดินมันก็ยังไม่มีดินมันมีแต่ลาวาและในเวลานั้นบนโลกเราก็ยังไม่มีน้ำด้วย ซึ่งแน่นอนว่า ซึ่งเหล่านี้มันสามารถที่จะบ่งบอกกันได้อย่างชัดเจนเลยคือมันไม่อำนวยต่อการมีชีวิตและสิ่งที่มีชีวิตไม่สามารถที่จะอยู่ได้แน่นอน ซึงตรงนี้นักวิทยาศาสตร์นักวิจัยและหลายๆคน

ก็ได้คิดออกมาหลากหลายทฤษฎีมากๆบางก็ว่าพระเจ้าส่งเรามาเกิดบางก็ว่าเราได้เกิดมาจากลาวาบางก็ว่าเรานั้นได้เกิดมาจากอะไรสักอย่างที่มันมาจากนอกโลกแต่ทฤษฎีเหล่านั้นมันก็ได้มีทั้งคนเชื่อและก็คนที่ไม่เชื่อแต่มันได้มีอยู่หนึ่งทฤษฎีที่นักวิทยาศาสตร์และนักวิจัยส่วนใหญ่เชื่อว่ามันได้มีความเป็นไปได้มากที่สุดที่โลกเราจะมีสิ่งมีชีวิตและมีน้ำและทฤษฎีนั้นนั่นก็คือเศษอุกกาบาตที่มาจากดวงจันทร์

พุุ่งเข้าชนโลกและเศษอุกกาบาตตรงนั้นมันก็ได้มีแบคทีเรียกับส่วนประกอบของน้ำอยู่ในนั้นอีกด้วยซึ่งตรงนี้ถ้าจะให้เราอธิบายให้เข้าใจกันง่ายๆก็คือจากการวิจัยหลุดอุกกาบาตของนักวิทยาศาสตร์ทั้งหมดเขาบอกว่าหลุดอุกกาบาตที่เก่าแก่มากที่สุดและเขาคาดว่าน่าจะเป็นหลุดอุกกาบาตแรกของโลกมันได้มีเศษองค์ประกอบของน้ำและมันได้มีเศษองค์ประกอบของดวงจันทร์อยู่เขาเลยคาดกันว่าบนดวงจันทร์เรานั้นมันจะมีองค์ประกอบของน้ำอยู่และมันก็ได้มีแบคทีเรียอยู่บนดวงจันทร์ด้วย

 

สนับสนุนโดย  next88 บาคาร่า